ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ยืนยันนั่ง กมธ.ศึกษา MOU43-44 ไม่ได้ทำงานให้พรรคภูมิใจไทย แต่เพื่อจุดยืนยกเลิกเหมือนเดิม ชี้ที่ผ่านมาอุ้มข้าราชการ-นักการเมืองที่ปกป้อง แทบไม่ให้น้ำหนัก ย้ำจะทำหน้าที่ดีที่สุด ด้านไชยชนกแจง ทับซ้อนกับหน่วยงานรัฐบาลที่บวรศักดิ์ตั้ง และเรื่องบริหารจัดการเวลา อีกทั้งมีความคิดตรงกันควรให้โอกาส
วันนี้ (31 ต.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ชี้แจงกรณีที่นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาบันทึกความเข้าใจ MOU2543 และ MOU2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา แล้วนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อตนเป็นกรรมาธิการแทนในสัดส่วนของพรรคภูมิใจไทยแทนตำแหน่งที่ว่างลง ว่า ตนไม่เคยร้องขอในการเป็นที่ปรึกษาหรือกรรมาธิการชุดนี้มาก่อน มีแต่นายสฤษฏ์พงษ์ร้องขอตนให้ไปเป็นที่ปรึกษา เนื่องจากความเห็นตนน่าจะเป็นประโยชน์กับกรรมาธิการในฐานะผู้ไม่เห็นด้วยกับ MOU2543 และ MOU2544
ทั้งนี้ จากบรรยากาศที่ตนได้มีโอกาสประชุมกรรมาธิการทุกครั้ง ยกเว้นครั้งแรก เห็นว่ากรรมาธิการชุดนี้ถูกเสนอโดยญัตติของนายสฤษฏ์พงษ์ว่าเห็นควรต้องยกเลิก MOU2543 และ MOU2544 จึงเสนอตั้งกรรมาธิการขึ้น แต่ในที่สุดพรรคภูมิใจไทยเสนอโควต้าขึ้นมาตามสัดส่วนของตัวเองในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ทุกพรรคต่างเสนอญัตติร่วมเข้ามาด้วย ทำให้กรรมาธิการจะต้องเป็นไปตามสัดส่วนของ สส. ที่มีการยื่นเข้ามาทั้งหมด ผลก็จะเป็นไปตามสัดส่วนของ สส. โดยรวม หมายความว่าพรรคภูมิใจไทยก็จะมีสัดส่วนเป็นเสียงส่วนน้อยในกรรมาธิการ ส่วนพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้น นอกจากจะได้สิทธิโควต้าตาม สส. แล้ว ยังได้สิทธิ์ในนามรัฐบาลที่จะเลือกใครก็ได้ ทำให้องค์ประกอบของกรรมาธิการชุดนี้จะเป็นผู้ที่ออกมาปกป้อง MOU2543 และ MOU2544 เกือบเป็นเสียงส่วนใหญ่
อีกประการหนึ่ง บรรยากาศการประชุมที่ผ่านมา ความเห็นส่วนตัวเมื่อไหร่ก็ตามที่นายไชยชนกไม่อยู่ จะพบว่ารายงานการประชุมจะให้น้ำหนักกับข้าราชการและนักการเมืองไปในทางปกป้อง MOU2543 และ MOU2544 เป็นส่วนใหญ่ จนตนทักท้วงและประท้วงหลายครั้งว่าไม่ให้น้ำหนัก โอกาสหรือเวลาที่มากพอสำหรับคนที่นำเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับ MOU 2543 และ MOU 2544 ส่วนนายไชยชนกในตอนแรกที่เป็นประธานสืบทราบมาว่าเป็นเสียงส่วนน้อย แต่ในขณะนั้นมีการเสนออีกคนหนึ่งเป็นประธานแข่งกันแล้วตัดสินใจถอนตัว ทำให้นายไชยชนกได้เป็นประธานโดยไม่มีคู่แข่ง เมื่อนายไชยชนกลาออก ที่ประชุม สส.พรรคภูมิใจไทยทำตามข้อเสนอของนายสฤษฏ์พงษ์ ที่เสนอให้ตนขยับจากที่ปรึกษามาเป็นกรรมาธิการ สส.พรรคภูมิใจไทยไม่มีใครคัดค้าน และเข้าที่ประชุม สส.เพื่อทราบและพิจารณา
"ขอย้ำว่า ผมไม่ได้ทำงานให้พรรคภูมิใจไทย ผมทำงานให้กับจุดยืนของผมเอง คือ ต้องการยกเลิก MOU2543 และ MOU2544 แล้วจุดยืนนี้จะไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเพราะพรรคภูมิใจไทยจะตั้งผมเป็นกรรมาธิการ หรือเป็นที่ปรึกษา หรือจะไม่ตั้งอะไรเลย จุดยืนผมนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ปฎิเสธเสียงของผมที่เข้าไปในฐานะกรรมาธิการ แม้อาจจะเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยก็ตาม และเมื่อได้ให้โอกาสที่ผมไปชี้แจงหรือพูดคุยในกรรมาธิการ ผมก็จะยืนจุดยืนนี้ในการนำเสนอต่อกรรมาธิการให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมไปถึงหากมีการชี้แจงในสภาฯ ก็จะได้สิทธิ์ในการพูดตามสัดส่วนที่พึงจะได้" นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวว่า เหตุผลที่นายไชยชนกลาออกที่ตนทราบ ให้เหตุผลโดยรวมว่าไม่มีเวลา เพราะลาประชุมอย่างน้อย 4 ครั้ง จากประมาณ 7 ครั้ง สรุปได้ว่าอาจมีภารกิจอื่นในฐานะเป็นรัฐมนตรี จึงไม่มีเวลาเป็นประธานกรรมาธิการในคนละหัวข้อของรัฐมนตรี และดูแล้วอาจจะไม่ว่างจริงๆ เพราะขณะเป็นประธานก็เดินเข้าออกประชุมเพราะมีโทรศัพท์เข้ามาตลอดเวลา ทำให้นายไชยชนกตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง แต่เหตุผลที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับการเลือกกรรมาธิการ ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นประธานซึ่งต้องลงมติใหม่ ถึงตอนนั้นเราจะเข้าใจเหตุผลมากขึ้นว่า เหตุผลที่นายไชยชนกลาออ กได้คำนึงถึงประธานกรรมาธิการคนใหม่แล้วหรือไม่ จะเป็นเสียงข้างมากในที่ประชุมที่มีทิศทางเดียวกัน หรือเป็นผู้ที่มีโอกาสแถลงนโยบายก่อนหน้านั้นว่าไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกMOU2543 ขอย้ำว่าในฐานะกรรมาธิการ ผมไม่ได้มาทำงานเพื่อพรรคภูมิใจไทย ผมมาทำงานเพื่อแสดงจุดยืนและแสดงเหตุผลในการยกเลิก MOU2543 และ MOU2544 เหมือนเดิมทุกประการและไม่เปลี่ยนแปลงจากจุดยืนนี้
ทั้งนี้ เท่าที่มีโอกาสรับฟังในช่วงเวลาที่นายไชยชนกเป็นประธาน ตนจับความรู้สึกและถ้อยแถลงทุกครั้งที่มีการพูดหรือการซักถาม ยังเชื่อว่านายไชยชนกยังมีความคิดต้องการยกเลิก MOU2543 และ MOU2544 โดยส่วนตัว แต่ในขณะนี้พรรคจะเป็นอย่างไร ตนไม่อาจก้าวล่วงและไม่อาจทราบได้ แต่จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด
ด้านนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ที่ลาออกจากกรรมาธิการฯ มีเหตุหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลักก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ซึ่งปัจจัยแรก คือ เรื่องความทับซ้อนกับหน่วยงานที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ตั้งขึ้นมาในฝ่ายบริหาร ที่จะหาทางออกในเรื่องนี้ของรัฐบาลอยู่แล้ว ปัจจัยต่อมา คือเรื่องการบริหารจัดการเวลา เนื่องจากคณะที่สำคัญที่เป็นวาระแห่งชาติมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตนอยู่เกือบทุกคณะ และยังไม่รวมงานประจำของกระทรวงฯ โดยทั้ง 2 เหตุผลนี้ จึงเห็นว่างานกรรมาธิการเป็นส่วนเดียวที่สามารถออกจากคณะได้
นอกจากนี้ คนในคณะกรรมาธิการฯ ก็มีแต่คนที่มีความสามารถ และความรู้ รวมถึงนายปานเทพ ที่ขึ้นมาเป็นกรรมาธิการแทนตน มึแนวคิดที่คล้ายกัน และมีความสามารถ ซึ่งตนก็จะยังดำเนินการในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อกับทางฝ่ายคณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานของฝ่ายบริหารด้วย ฉะนั้นตนไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน
ส่วนเหตุผลที่เลือกนายปานเทพมาแทน โดยใช้สัดส่วนของพรรคภูมิใจไทยนั้น เดิมทีตนให้ทางเลือกคือนายปานเทพกับ ดร.ธเนศ สุจารีกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ ด้วยเหตุผลว่าทั้งคู่มีความสามารถในหลากหลายรูปแบบ และช่วงที่ตนไม่ได้ไปเนื่องจากติดภารกิจ ฝั่งที่เป็นที่ปรึกษาอย่างทั้งคู่นี้ ก็จะไม่ค่อยได้รับเวลาอย่างไม่เป็นธรรมเท่าไหร่ ตนจึงเห็นว่าเหมาะดีที่จะมีตัวแทนจากฝั่งนี้ ได้เป็นกรรมาธิการที่แสดงความเห็นอีกมุมหนึ่ง เพราะกรรมาธิการต้องรวบรวมมุมมองจากทุกฝ่ายเพื่อนำเสนอ ซึ่งแนวโน้มของทั้ง 2 ท่านมีความคล้ายกับตน และคิดค่อนข้างตรงกัน ตนจึงคิดว่าเหมาะที่จะให้โอกาสเขา

