xs
xsm
sm
md
lg

แนะ “กองทัพ” ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ หาก “อนุทิน” ยังเป็นลูกไล่เขมร เสี่ยงเสียดินแดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“พล.อ.รังษี” ชี้ “นายกฯอนุทิน” ทิ้งปัญหาใหญ่ให้รัฐบาลสมัยหน้า เหตุ สัญญา 3 ฉบับ ที่เซ็นในการลงนามความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ทำไทยเสียเปรียบทุกด้าน อีกทั้งยังเป็นการเน้นย้ำว่าไทยต้องทำตาม MOU 43 ซึ่งยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ส่งผลให้ไทยเสีย“ภูมะเขือ”และครึ่งหนึ่งของพื้นที่อ่าวไทย แนะ “กองทัพ” ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ เพื่อปกป้องอธิปไตย หากรัฐบาลไทยยังเป็นลูกไล่เขมร-สุ่มเสี่ยงเสียดินแดน ลั่น ! นักการเมืองไว้ใจไม่ได้ ลือสะพัดรับเงินแก๊งสแกมเมอร์ หวั่นทุนสีเทายึดประเทศ

เป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวางสำหรับกรณีที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีของไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ลงนามความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย, นายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นสักขีพยาน เนื่องจากหลายฝ่ายเกรงว่าข้อตกลงต่างๆอาจจะทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา อีกทั้งในการเจรจาที่ผ่านๆมา กัมพูชาไม่เคยปฏิบัติตามข้อตกลงสักครั้ง และไทยก็ทำอะไรกัมพูชาไม่ได้

ส่วนว่าในข้อเท็จจริงจะเป็นตามที่หลายคนวิตกหรือไม่นั้น คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง

พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตที่ปรึกษากองทัพภาคที่ 1 และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ
พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตที่ปรึกษากองทัพภาคที่ 1 และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ ซึ่งติดตามปัญหาชายแดนไทยกัมพูชามาตลอด มองว่า การลงนามความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ระหว่างนายกฯอนุทิน กับนายฮุน มาเนต นั้นไทยเสียเปรียบทุกอย่าง เนื่องจากในปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชาระบุชัดเจนว่า “งดใช้กำลัง” คือถ้ามีปัญหาอะไรให้ใช้วิธีเจรจาเท่านั้น ซึ่งเท่ากับไทยไปเพิ่มกำลังให้ MOU 43 ซึ่งยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000

อีกทั้งหลังจากมี MOU 43 ได้มีคณะกรรมการเกิดขึ้น 3 ชุด ได้แก่ RBC ( คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค) , GBC(คณะกรรมการชายแดนทั่วไป) และ JBC(คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม) ทำให้กัมพูชาสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบ มีปัญหาอะไรก็แค่นำเรื่องเข้าคณะกรรมการ ยกตัวอย่าง กัมพูชาใช้กำลังรุกล้ำอธิปไตยของไทย เอาชาวบ้านมายึดพื้นที่ของไทย พอเกิดความขัดแย้งก็จะโยนเรื่องเข้าที่ประชุม RBC , GBC , JBC ถ้าตกลงกันไม่ได้กัมพูชาก็จะท้าไทยไปศาลโลก เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าข้อกำหนดที่ให้ใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งระบุใน MOU 43 และ MOU 44 ทำให้กัมพูชาสามารถกินพื้นที่เข้ามาในแผ่นดินไทยได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ปัญหาก็จะวนไปลูปเดิม นอกจากนั้นพื้นที่ 11 จุดที่ทหารไทยยึดคืนมาได้ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องนำกลับไปสู่การเจรจาปักปันเขตแดนใหม่หรือเปล่า เพราะข้อตกลงครั้งนี้ไปเสริมแรงให้ MOU 43 ซึ่งยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000

“ การที่ไทยไปลงนามความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาครั้งนี้เท่ากับเป็นการเน้นย้ำว่าไทยต้องทำตาม MOU 43-44 ซึ่งการที่นายกฯอนุทินเซ็นสัญญาทั้ง 3 ฉบับ ไม่ว่าจะเป็น สัญญาสันติภาพ , MOU เรื่องแร่หายาก หรือข้อตกลงทางการค้า ประเทศไทยล้วนแต่เสียเปรียบทุกเรื่อง โดยเฉพาะการที่ข้อตกลงครั้งนี้ไปเพิ่มกำลังให้ MOU 43 ที่อ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งถ้ายึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไทยจะเสียภูมะเขือทันที และจะเสียอ่าวไทยอีกครึ่งหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องเหล่านี้จะกลายเป็นภาระหนักของรัฐบาลชุดต่อไป ต้องบอกว่ารัฐบาลนี้ทิ้งปัญหาใหญ่เอาไว้เลยทีเดียว ” พล.อ.รังษี กล่าว

ลงนามความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซีย โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นสักขีพยาน
ส่วนกรณีที่ชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วนั้น “พล.อ.รังษี” ชี้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของการรุกล้ำอธิปไตย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลงนามความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ เนื่องจากข้อตกที่ลงนามกันนั้นระบุว่าถ้ามีความขัดแย้งไม่ให้ใช้กำลัง ให้ใช้การเจรจา แต่กรณีบ้านหนองจานไม่ใช่เรื่องความขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องการรุกล้ำอธิปไตย จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขการเจรจา ดังนั้นไทยสามารถผลักดันชาวกัมพูชาออกไปได้ทันที

“ เราไม่จำเป็นต้องฟังอะไรแล้ว ผลักดันชาวกัมพูชาออกไปได้เลย ทำลายสิ่งปลูกสร้างต่างๆให้หมด แล้วก็สร้างรั้วกั้นชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะบ้านหนองจานกับบ้านหนองหญ้าแก้วอยู่ในแผนที่ประเทศไทย 100% ซึ่งกัมพูชาเองก็ยอมรับว่าเป็นพื้นที่ของไทยเพราะรัฐบาลกัมพูชาบอกว่าจะมาไล่คนกัมพูชาออกไปได้ไง เขาอยู่มา 30 ปีแล้ว ซึ่งแปลว่าเดิมกัมพูชาไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพิ่งเข้ามาอยู่เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือยุคที่มีการสู้รบของเขมรแดงกับเวียดนามแล้วชาวกัมพูชาหนีตายเข้ามา ที่สำคัญยูเอ็นเป็นคนขอใช้พื้นที่บ้านหนองจานและของไทยเป็นศูนย์อพยพ จากนั้นก็มีชาวกัมพูชาบางส่วนแยกตัวออกมาจากศูนย์อพยพที่บ้านหนองจานและเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบ้านหนองหญ้าแก้ว ตรงนี้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจน ” พล.อ.รังษี ระบุ

พล.อ.รังษี เชื่อว่า การที่กัมพูชาถอนกำลังและดำเนินการต่างๆ ตามข้อตกลงสันติภาพนั้น สุดท้ายจะไปจบลงที่ไทยเปิดด่านไทย-กัมพูชา อย่างไรก็ดีขอเสนอ 4 ข้อของไทย ซึ่งได้แก่ 1.การถอนอาวุธหนัก 2.การเก็บกู้ทุ่นระเบิด 3.การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งสแกมเมอร์ และ 4.บริหารจัดการในพื้นที่ที่มีการรุกล้ำเข้ามานั้น ถ้ากัมพูชาจะหาเรื่องไทยอีก เขาก็สามารถเอากำลังและอาวุธหนักกลับเข้ามาในพื้นชายแดนได้ หรือแม้กัมพูชาจะให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ระเบิด แต่เขาก็สามารถลักลอบเข้ามาวางระเบิดในพื้นที่ของไทยใหม่ได้ ส่วนกรณีการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ที่มีฐานที่ตั้งในกัมพูชานั้นก็ไม่เชื่อว่ากัมพูชาจะให้ความร่วมมือในการปราบปรามอย่างจริงจัง ขณะที่เรื่องจัดการพื้นที่ที่มีการรุกล้ำ ก็ไม่มีทางที่ไทยกับกัมพูชาจะคุยกันรู้เรื่องเพราะไทยยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 แต่กัมพูชายึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000

และถ้าไทยไม่เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า ทางกัมพูชาจะอยู่ไม่ได้ และสุดท้ายกัมพูชาก็ต้องเปิดศึกปะทะกับไทย เพราะนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่เคยทำตามกติกา ซึ่งหากเกิดเหตุปะทะกับไทยอีกรอบโดยที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน ประเทศไทยก็สามารถยกเลิก MOU 43 ,MOU 44 รวมถึงข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งนายกฯอนุทินไปลงนามในครั้งนี้ด้วย เพราะถือว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงสันติภาพซึ่งห้ามใช้กำลัง


“ ที่น่าสังเกตคือช่วงที่ไทยปะทะกับกัมพูชาและกำลังได้เปรียบ โดยกองทัพไทยยึดพื้นที่คืนได้ 11 จุดและอยู่ระหว่างปะทะกันที่ปราสาทตาควาย อยู่ๆโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็โผล่เข้ามาเปิดการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา พอวันนี้ไทยปิดด่าน เศรษฐกิจกัมพูชากำลังจะพินาศ อยู่ๆทรัมป์ก็โผล่มาจัดเจรจาลงนามสันติภาพ เชื่อว่าครั้งนี้ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งได้หน้าจากการเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพ ใช้ MOU แร่หายากและข้อตกลงทางการค้า เป็นค่าจ้างที่ทรัมป์เสียเวลามานั่งเป็นสักขีพยานในการเจรจา เพราะตอนนี้จีนควบคุมการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธให้สหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการทหาร ดังนั้นงานนี้กัมพูชาสมประโยชน์ มาเลเซียสมประโยชน์ สหรัฐฯสมประโยชน์ ขณะที่ไทยได้กระดาษมา 3 แผ่น พร้อมข้อผูกมัดที่ทำให้ไทยขยับอะไรไม่ได้ ” พล.อ.รังษี ตั้งข้อสังเกต

นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายวิตกว่าปัญหาต่างๆจะซ้ำรอยเดิม คือกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ยังคงรุกล้ำดินแดนไทย และนำกำลังทหารพร้อมอาวุธหนักกลับเข้ามาโจมตีไทยนั้น “พล.อ.รังษี” แนะนำว่า หากเกิดกรณีดังกล่าว กองทัพจำเป็นต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ เพราะวันนี้เราไว้ใจการเมืองไม่ได้ เนื่องจากมีข่าวหลายกระแสว่านักกการเมืองไทยรับเงินแก๊งสแกมเมอร์ โดยมีรายชื่อเผยแพร่ออกมาด้วย อีกทั้งมีบริษัทเอกชนและธุรกิจของไทยนำเงินสแกมเมอร์มาลงทุน ทางฮุน เซน เขารู้จุดอ่อนของประเทศไทยว่าเงินสีเทาสามารถซื้อนักการเมืองไทยและข้าราชการไทยได้ ถ้ามี สส.สัก 200 คนก็เข้าไปบริหารประเทศไทยได้ เขาก็อาจจะซื้อนักการเมืองที่เข้าไปบริหารประเทศหัวละ 30-40 ล้าน ซึ่งแก๊งสแกมเมอร์มีเงินเป็นแสนล้าน สมมุติโยนมาสักหมื่นล้านก็ซื้อประเทศไทยได้แล้ว ถ้าสั่งแล้วนักการเมืองไทยไม่เชื่อ ฮุน เซน ก็จะแฉรายชื่อคนที่รับเงินสแกมเมอร์ออกมา

ขณะที่ภารกิจหลักของกองทัพคือการปกป้องอธิปไตยของไทย โดยเฉพาะการผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วออกไป ดังนั้นหากฝ่ายการเมืองยังเกรงใจกัมพูชาและเป็นอุปสรรคต่อปฏิบัติการของทหาร ก็จำเป็นที่กองทัพจะต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ ซึ่งการประกาศกฎอัยการศึกนั้นไม่ใช่การรัฐประหาร แต่เป็นการให้อำนาจกองทัพเข้ามาควบคุมจนกว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะกลับเจ้าสู่สถานการณ์ปกติ และหากกฎหมายข้อไหนที่ขัดกับกฎอัยการศึกก็ให้ยึดกฎอัยการศึกเป็นหลัก

“ สังคมก็ตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายกฯอนุทินบอกว่าไทยรุกล้ำกัมพูชานั้นทำให้ไทยเสียเปรียบ หากฝ่ายการเมืองยังทำให้ไทยเป็นลูกไล่เขมร ยังเกรงใจเขมร และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน เช่น รัฐบาลไม่กล้าสั่งการให้กองทัพเข้าไปยึดบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วคืน กองทัพก็ควรจะประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศเพื่อให้กองทัพมีอำนาจเต็มในการสั่งการได้ทุกกระทรวง บวง กรม อันจะมีผลต่อการปกป้องอธิปไตยของชาติ รวมถึงประกาศยกเลิก MOU 43-44 ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทยเสียดินแดนด้วย การประกาศกฎอัยการศึกเป็นการดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย คือพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจฝ่ายทหารในการรักษาความสงบเรียบร้อย ” พล.อ.รังษี ระบุ
กำลังโหลดความคิดเห็น