xs
xsm
sm
md
lg

รัฐสภา ผ่านฉลุย ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ หลังถกยาว 7 วัน “ก้าวไกล” โวย กมธ.แก้เนื้อหา เว้นวรรคใช้เกณฑ์แต่งตั้งโยกย้ายใหม่ ชะลอใช้เกณฑ์คัดเลือก-แต่งตั้ง ตามกฎหมายใหม่ ออกไป 180 วัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



รัฐสภา ผ่านฉลุย ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ หลังถกยาว 7 วัน “ก้าวไกล” โวย กมธ.แก้เนื้อหา เว้นวรรคใช้เกณฑ์แต่งตั้งโยกย้ายใหม่ ชะลอใช้เกณฑ์คัดเลือก-แต่งตั้ง ตามกฎหมายใหม่ ออกไป 180 วัน เพื่อวางไข่ ทายาทอสูร เอื้อตั๋วช้างให้นายตำรวจบางคน “สาทิตย์” ชี้ วิธีการ กมธ. ผิดปกติ ส่อกระทบหลักการทำกฎหมาย จี้ ถามเหตุผล เอื้อใครกันแน่ ด้าน “สมชาย” ยันไม่มีช่วยตั๋วช้าง-ม้า แต่อยากช่วย ตร.3 จว.ภาตใต้ อยากย้ายกลับ วอนสภาอย่าใจจืดใจดำ

วันนี้ (5 ก.ค.) ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.... ที่กรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาพิจารณาแล้วเสร็จ ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 7 ซึ่งเหลืออีก 4 มาตราจะพิจารณาเนื้อหาเป็นรายมาตราในวาระสองแล้วเสร็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม เริ่มต้นพิจารณามาตรา 169/1 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้าย ข้าราชการตำรวจ แต่ละตำแหน่ง ในเนื้อหาที่ถูกโต้แย้งต่อการขอแก้ไขเนื้อหาให้ต่างไปจากรายงานของ กมธ.ที่เสนอต่อสภา ซึ่ง กมธ.ได้ขอกลับไปหารือก่อนเสนอต่อรัฐสภา โดย พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร ส.ว. ฐานะรองประธาน กมธ. คนที่หนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่ประธาน กมธ. ชี้แจงว่า กมธ.หารือรวม 2 รอบ และได้ข้อยุติต่อการเสนอบทบัญญัติใหม่ให้ที่ประชุมพิจาณา ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติที่ พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รอง ผบ.ตร. ฐานะ กมธ.เสนอ
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ปิยะ ชี้แจงรายละเอียดในข้อเสนอที่ปรับเนื้อหาให้เป็นการเว้นการบังคับใช้หลักเกณฑ์การคัดเลือก หรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในระดับต่างๆ ตามกฎหมายใหม่ ออกไป 180 วัน โดยย้ำว่า เพื่อไม่ให้หลักเกณฑ์ตามกฎหมายใหม่มีผลกระทบต่อบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในระดับต่างๆ ที่ดำเนินการตามขั้นตอนมาแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน และเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ได้ประกาศบัญชีอาวุโสของตำรวจและเปิดรับฟังข้อโต้แย้งไปแล้ว
“วาระแต่งตั้งประจำปี ได้ดำเนินการไปแล้ว ต้องมีบทเฉพาะกาลเพื่อให้การคัดเลือกกประจำปีเรียบร้อยถูกต้องตามกฎหมายและกฎของ สตช. ที่มีอยู่ อีกทั้งจะมีผลกระทบต่อการวางแผนชีวิตรับราชการของข้าราชการตำรวจ ที่ต้องการย้ายกลับภูมิลำเนา หากใช้กติกาใหม่ที่มีเงื่อนไขเวลา อาจทำให้กระทบต่อการวางแผนรับราชการและครอบครัว ทั้งนี้ กฎ ก.ตร. มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเว้นการบังคับใช้ แต่กฎหมายหลักไม่มี จึงจำเป็นต้องเขียนเพื่อให้รักษาความเที่ยงธรรมในการแต่งตั้ง ยืนยันว่า การเสนอบทบัญญัติดังกล่าวไม่มีเจตนาแอบแฝงใด แต่เพื่อให้เป็นประโยชน์กับข้าราชการตำรวจทุกระดับ”

จากนั้น นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ท้วงติงว่า การเสนอใหม่ครั้งนี้ฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่ 96 อาจทำให้กระบวนการตรากฎหมายคลาดเคลื่อน เพราะข้อบังคับดังกล่าวให้แก้ไขเฉพาะสิ่งที่คณะ กมธ. รายงานมา ข้อบังคับที่ระบุตอนท้ายว่า “เว้นแต่ที่ประชุมจะลงมติเป็นอย่างอื่น” นั้น คณะ กมธ.จะไปตีความว่ายกเว้นได้ทุกเรื่องนั้น ถือเป็นการตีความเกินควรของกฎหมาย นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมกับที่มีข่าวออกว่าการตรากฎหมายเที่ยวนี้ทำเพื่อใครบางคน
ขณะที่นายชวนได้วินิจฉัยว่าตามข้อบังคับของรัฐสภา กมธ.มีสิทธิที่จะทบทวนเนื้อหาได้และในการประชุมสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมรัฐสภาไม่เห็นเป็นอย่างอื่นจึงถือว่ามีมติให้ กมธ.ทบทวน และมีมติที่เป็นข้อสรุปส่งให้สภาพิจารณาได้ ดังนั้น กระบวนการไม่ผิด แต่หากสมาชิกไม่เห็นด้วยต้องขอมติ และขอให้ดำเนินการอภิปรายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาต่อประเด็นดังกล่าวมีความเห็นที่แบ่งเป็น 2 ฝ่าย ทั้งที่สนับสนุนการแก้ไขของ กมธ. และฝ่ายที่โต้แย้ง

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า ตนไม่เห็นด้วยกับ กมธ.ที่แก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาดังกล่าว แม้จะมีการประชุมกันมา 2 ครั้ง ว่า จะแก้ไขได้หรือไม่ ซึ่งมีความเห็นใน กมธ.แตกเป็น 2 ฝ่าย และล่าสุด การประชุมเมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 ก.ค.ลงมติเสียงข้างมาก 17 เสียงให้แก้ไขและเสนอข้อความใหม่ต่อสภา
“ผมมองว่า ไม่ปกติ เพราะถ้าปกติ กมธ.ต้องถอนเนื้อหาออกไปก่อน แต่นี่ไม่ถอน ส่วนที่บอกว่า มาตรา 169/1 เดิมจะมีผลกระทบกับการแต่งตั้งโยกย้าย แต่ที่ผ่านมา ตัวแทนของ สตช. เข้าร่วมประชุมและรับรู้เนื้อหา รวมถึง สตช. เคยขอให้แก้ไข 14 จุด จึงถือว่ารับรู้มาตลอด จะอ้างว่า ไม่รู้ข้อความไม่ได้ ดังนั้น ผมมองว่ามาตราที่เสนอมาใหม่นี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายในปีนี้ ที่บอกว่าหากร่างกฎหมายนี้ใช้วันถัดจากประกาศใช้ มีคนเสียประโยชน์ผมเชื่อว่าจะมีคนได้ประโยชน์เช่นกัน ทั้งนี้ข้อความที่เสนออผมมองว่าไม่ต้องแก้ไขก็ได้ เพราะมีมาตรา 170 เขียนด้วยหลักการเดียวกัน แต่หากจะเสนอเพื่อโยนความรับผิดชอบ ของ ก.ตร. เป็น สภา เพราะสภาคุ้มครอง 180 วัน ให้ทำตามแบบเดิม ถือเป็นความผิดปกติที่อาจกระทบต่อกระบวนการนิติบัญญัติได้” นายสาทิตย์ ชี้แจง


ขณะที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน อภิปรายสนับสนุน นายสาทิตย์ และโต้แย้ง กมธ.เสียงข้างมากที่เสนอข้อความเว้นวรรคการใช้กติกาใหม่ ว่าจะเอื้อประโยชน์กับบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายในปี เพราะเป็นบุคคลที่ไม่อยู่ในลำดับอาวุโส

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า มาตรา 169/1 ต้องบอกว่า เป็นมาตราที่เดิมจะต้องอ่านคู่กับมาตรา 69 ซึ่งมาตรา 169/1 สาระสำคัญคือการเขียนล็อกเอาไว้เลยว่าตำแหน่งต่างๆนั้นจะต้องเป็นกี่ปี โดยวางกรอบระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่ พ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ ประเด็นสำคัญ คือ กมธ. รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทราบอยู่แล้วว่า กฎเกณฑ์ในการโยกย้ายตำแหน่ง คุณสมบัติการดำรงตำแหน่งต่างๆ นั้น มีลักษณะประมาณใด ท่านรู้อยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์กำลังจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ กมธ. ทำ คือ ทำโผตำรวจ ในลักษณะที่ต่างกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีปัญหา เราพิจารณากฎหมายฉบับนี้ได้ด้วยดี หลายเรื่องตนและพรรคก้าวไกล ไม่เห็นด้วยเลย แต่ก็ดีใจอยู่บ้างที่ในมาตรา 69 สุดท้ายมีการกำหนดปีเอาไว้อย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุดอาจจะป้องกัน คนที่จะได้รับประเภท “ตั๋วช้าง” เข้ามาดำรงตำแหน่งข้ามหัวคนอื่นได้

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้อยู่ๆ ก็เสนอกัน ซึ่งการเสนอแบบนี้ ตนคิดว่าเป็นการเสนอที่ผิด ถ้าเรายืนยันว่าทำกันแบบนี้ได้ ต่อไปกฎหมายทุกฉบับก็เปลี่ยนกันหน้างานได้ ทั้งที่ในความเป็นจริง มาตรา 169/1 เราควรตัดทิ้งด้วยซ้ำไป เพราะมาตรา 69 ล็อกไว้อย่างชัดเจนว่าปีของการดำรงตำแหน่งต้องเป็นเท่าไหร่ เช่น คนที่จะขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร.จะต้องเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.มาแล้ว 1 ปี คนที่จะขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. จะต้อเป็นผู้บัญชาการ มาแล้ว 1 ปี อันนี้คือสิ่งที่เขียนล็อกเอาไว้ ซึ่งจะแตกต่างจากกฎ ก.ตร.เดิม ในลักษณะที่สามารถยกเว้นได้ ถึงแม้เนื้อหาสาระจะเขียนเหมือนกัน แต่กฎ ก.ตร.สามารถยกเว้นหลักเกณฑ์ตรงนี้ได้ และสิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือคนที่ขึ้นขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.และ รอง ผบ.ตร.จะต้องมีอาวุโส 100 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าตำแหน่งว่างเท่าไหร่ก็คัดจากคนที่อาวุโสเท่านั้น ซึ่งจะไม่มีกรณีข้ามหัวคนอื่นเกิดขึ้น

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้มีปัญหามาโดยตลอด และนำไปสู่การมี ตั๋วช้างและตั๋วตำรวจต่างๆ มากมาย ตนได้อภิปรายไปแล้วว่ามีตำรวจ 2 พันกว่าคน ที่ได้รับตั๋วและบางส่วนได้รับตั๋วช้าง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนไม่กี่คนที่ถูกข้ามหัว แต่ทำให้ความเชื่อต่อระบบคุณธรรมของวงการตำรวจพังทลายลง และวิธีการแบบนี้ไม่ได้กระทบกับตำรวจที่อยู่ในตำแหน่ง แต่กระทบกับครอบครัวของเขา ซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับคนนับล้าน วันนี้ตนเชื่อว่า คนที่นั่งอยู่ในแห่งนี้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรากำลังจะอนุมัติให้เกิดตั๋วช้างอีกรอบ ท่าน กมธ.โดยเฉพาะท่านที่มาจาก สตช.รู้ดีว่ากำลังช่วยใคร สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่แค่การวางตัวคนที่จะไปเป็นรอง ผบ.ตร.เท่านั้น แต่ได้ยินมาว่า ลำดับท้ายๆ กำลังจะได้รับสิทธิในการข้ามหัวคนอื่น ขึ้นมาเป็นรองผบ.ตร. แล้วปีถัดไปก็จะเป็น ผบ.ตร.

“และเหตุผลที่ กมธ.ต้องขอ180 วัน ในการชะลอกฎหมายที่กำลังจะผ่านสภาฯออกไปก็เพื่อที่จะได้วางไข่ วางทายาทอสูร ตั้งแต่รอง ผบ.ตร.ไปจนถึงตำรวจระดับชั้นที่น้อยที่สุด ซึ่งก็คือ ช่วงเดือนเมษายน มากไปกว่านั้นท่านอ้างถึงการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมที่เขาอาจจะได้กลับมา เอาคนที่เสียหายจากการตัดสินใจของท่านมาเป็นเงื่อนไข ในการที่จะให้ตั๋วตำรวจกับแค่บางคน ซึ่งความจริงแค่ใช้กฎ ก.ตร.กับมาตรา 170 ก็ช่วยตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เนื้อหาแบบที่ กมธ.เพิ่งเสนอปรับแก้ใหม่เลย พูดกันตรงๆ พูดด้วยความจริงท่านก็แค่ใช้โอกาสนี้ช่วยตำรวจบางคนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สภากำลังยอมให้เกิดระบบตั๋วเกิดขึ้นในวงการตำรวจ เป็นระบบที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องหยุดยั้งระบบแบบนี้ จะปล่อยให้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว ตั๋วนก ตั๋วต่อ ตั๋วโต้ง ตั๋วอะไรก็แล้วแต่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปไม่ได้” นายรังสิมันต์ กล่าว

พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ระหว่างที่คณะ กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นี้ ทางตำรวจได้ทำข้อท้วงติงมาหลายเรื่อง แต่ตนไม่เห็นด้วย และเห็นว่า เป็นกระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจทั้งประเทศกำลังจับตามองบุคคลเจ้าประจำ ที่ได้ตั๋วช้างช่วยมาตลอด เช่น ผู้บัญชาการสอบสวนกลางคนปัจจุบัน และผู้ช่วย ผบ.ตร.คนหนึ่งในขณะนี้ ซึ่งเขาจะครบเกณฑ์หนึ่งปีที่สามารถเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้
พ.ต.ต.ชวลิต กล่าวต่อว่า การขึ้นตำแหน่งรอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร. ถ้าเทียบเกณฑ์เก่ากับกฎหมายใหม่จะเหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ถ้าไปดูในมาตรา 74 จะเห็นว่าการเลื่อนต้องเป็นไปตามเรียงคิว ตามหลักอาวุโส 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสองคนข้างต้นกล่าวถึง ขณะนี้อยู่ในลำดับอาวุโสท้ายแถว เพราะเขาใช้ตั๋วช้างยกเว้นหลักเกณฑ์มาหลายรอบ ถ้าบังคับใช้กฎหมายใหม่ในรอบนี้ คนจะไม่ได้เลื่อนขึ้นแน่นอน แต่ถ้าเลื่อนออกไปอีก 180 วัน ตามที่คณะ กมธ.แก้ไข สองคนดังกล่าวจะสามารถเลื่อนขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าที่ประชุมรัฐสภามีมติผ่านเรื่องนี้ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ตั๋วช้างคนดังกล่าว ปีนี้จะได้เป็นรอง ผบ.ตร. และในปีหน้าก็จะสามารถขึ้นเป็น ผบ.ตร.ได้ ถามว่า เขาจะเป็นผู้นำองค์กรที่ตำรวจทั้งประเทศยอมรับได้อย่างไร จึงขอเสนอให้สมาชิกลงมติไม่เห็นด้วยกับที่กมธ.ขอแก้ไขในมาตรา 169/1

ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธาน กมธ. ชี้แจงว่า ตนไม่มีญาติเป็นตำรวจ ดังนั้น การที่บอกว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่นคนได้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว หรือตั๋วอะไร ตนไม่ได้สนใจอะไร เพราะมีทั้งคนได้และคนเสียพอกัน แต่สภาต้องออกกฎหมายแล้วต้องใช้ได้ อย่างไรก็ตาม มีตำรวจมาข้อร้องว่าเกิดปัญหาตำรวจ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ย้ายกลับลำบากถ้ากฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทันที ดังนั้น สภาจะใจจืดใจดำไม่ให้หรือ เพียงแค่ 180 วัน

หลังจากที่ประชุมพิจารณาในมาตรานี้นานร่วม 3 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับประเด็นที่กรรมาธิการเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ ด้วยคะแนน 344 เสียง ไม่เห็นด้วย 181 เสียง งดออกเสียง 50 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง

จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบในมาตราที่เหลือและมีมติเห็นชอบวาระ 3 ด้วยคะแนนเสียง 494 เสียง ไม่เห็นด้วย 40 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง พร้อมกับมีมติเห็นด้วยกับข้อสังเกตแนบท้ายของคณะกรรมาธิการ
กำลังโหลดความคิดเห็น