xs
xsm
sm
md
lg

The Bottom Blues “แอมมี่” วีรกรรมต่ำตม พาม็อบ 3 นิ้วดิ่งนรก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เลยจุดพีคไปไกลแล้ว สำหรับ “ม็อบสามนิ้ว” คณะราษฎร 2563 ที่เคยฮอตฮิตติดลมบนเป็นไวรัลตลอดครึ่งปีหลังของปี 2563 แต่พอเข้าปลายปี ต่อเนื่องถึงต้นปี 2564 กลับซบเซาดาวน์ลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะพยายามสรรหาอีเวนต์เบิ้มๆ ลูกเล่นใหม่ๆ เท่าไร ก็ชักไม่ได้รับการตอบรับ แม้จะโปรโมตอย่างหนักทางโซเชียลมีเดีย นับวันมวลชนเข้าร่วมชักจะหลอมแหลมเต็มที

หลายกิจกรรมดูปะดักปะเดิดชอบกล ประเภทนัดพร้อมรอแจ้งจุดหมายแบบแต่ก่อนก็ปั่นไม่ขึ้น ระยะหลังเน้นอาศัยจังหวะที่เหล่าแกนนำ-แกนตาม เข้าพบเจ้าพนักงานรายงานตัว หรือส่งฟ้องคดีที่โดนกันระนาวเป็นหางว่าว จัด “ม็อบเฟส” แย่งซีนกันดื้อๆ ตรงนั้น เพราะรู้ว่ามีนักข่าวแห่ไปรายงานแน่ๆ

หรือคิวที่จะไปกดดันการลงมติไม่ไว้วางใจหน้ารัฐสภา ก็ดันนัดหมายช่วงบ่าย ทั้งที่ ส.ส.โหวตกันเสร็จยังไม่เที่ยงวันดี

กลายเป็นวางแผนผิด อ่านเกมพลาด ตลอด

ระยะหลังๆ มานี้กิจกรรมสามนิ้วนอกจากไม่เปรี้ยงแล้วยังแป้กบ่อย คนออกมาน้อย คึกกันอยู่แต่ในหน้าจอโทรศัพท์

ส่วนหนึ่งเพราะทิศทางม็อบผิดเพี้ยนออกทะเลไปเยอะ จาก “ม็อบปัญญาชน” กลายเป็น “ม็อบอันธพาล” ที่ไร้ซึ่งความปลอดภัย ไปที่ไหน เละที่นั่น มีคนบาดเจ็บทุกรอบ คุมกันไม่ได้

ทุกวันนี้จัดเหมือน “สตริงงานวัด” ที่มาเพื่อมีเรื่อง

ยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวก็เป็นไปแบบ “เด็กเอาแต่ใจ” ทำตามความรู้สึก ไม่สนดินฟ้าอากาศ หลายประเด็นที่หยิบจับมาขับเคลื่อนมาพุ่งเป้ารัฐบาลได้กลับมองข้าม ทั้งจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือการแก้ไขรับธรรมนูญที่ทำท่าจะไม่รอดในวาระ 3

นอกจากนั้น อีกส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ม็อบฝ่อง่าย ก็เป็นเพราะสถานการณ์ปัจจุบันแกนนำหลายคนมีคดีเป็นหางว่าว เข้า-ออกโรงพัก ศาล เรือนจำ กันเป็นห้างสรรพสินค้า หลังๆ มาขอ “ลอยตัว” บัญชาการอยู่หน้าคอมพ์ นัดสถานที่ชุมนุม วัน ว. เวลา น. ให้เสร็จสรรพ แล้วปล่อยให้มาชุมนุมกันเอง

แม้แต่ศาสดาเบอร์หนึ่งแห่งจักรวาลสามนิ้ว อย่าง “หัวโต” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหาคดี มาตรา 112 ยังเอามือกุมขมับ อดรนทนไม่ได้ สอนกันตรงๆ ว่า “ชุมนุมโดยไร้หัวมันไม่เวิร์ก”

 “แอมมี่ The Bottom Blues” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์
ยุทธศาสตร์ “ทุกคนคือแกนนำ” แค่ภาพอุดมคติที่คิดว่า ต่อให้แกนนำถูกขังคุกก็จะมี “คนรับไม้” ต่อเรื่อยๆ ไม่มีวันหมด หรือเอาเข้าจริงถึงมีแกนนำก็ยังอาจจะคุมกันไม่อยู่ด้วยซ้ำ กลับอุตริ หรือรักตัวกลัวตายไม่กล้าเป็นแกนนำกันเอง

ก็ต้องรับความเป็นจริงว่า ผลลัพธ์ของ “ม็อบไร้แกนนำ” ที่เกิดขึ้นทุกครั้งคือ “เละ”

จากที่เคยคิดว่า “ปังๆ” ก็กลายมาเป็น “ปังพินาศ”

หลายกิจกรรมที่จัดแล้ว “คุมไม่อยู่” ทั้งในส่วนข้อเรียกร้อง หรือปล่อยให้เกิดความรุนแรง กระทั่งละเมิดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ก็มักออกมา “ตีหน้าซื่อ” แถลงการณ์ว่าไม่เกี่ยวกับ “แก๊งสามนิ้ว” ทั้งที่คนจัด-ผู้ร่วมชุมนุม ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี

อย่างเหตุการณ์ชุมนุมบริเวณสามย่าน เมื่อวันที่ 16 ม.ค.64 ปรากฏว่า กลุ่มการ์ดราษฎร ใช้ “ระเบิดปิงปอง” โยนเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จนมีเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บ

ปรากฏว่า “สาวรุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำม็อบราษฎร จู่ๆก็ประกาศตัวเป็น “โฆษกอย่างเป็นทางการ” ของกลุ่มราษฎร ปฏิเสธทันทีว่า การประกาศรวมตัวที่สามย่าน จาก “เพจคณะราษฎร” ไม่ได้เกิดขึ้นจาก กลุ่มราษฎร หรือแกนนำคนใด

แต่ให้ไปติดตามการประกาศ และการเคลื่อนไหวทางเพจส่วนตัวของแกนนำ และเพจ “แนวร่วมธรรมศาสตร์ และการชุมนุม - United Front of Thammasat and Demonstration” จนกว่าจะมีการประกาศเพจของราษฎร “อย่างเป็นทางการ” เท่านั้น

กลายเป็นว่า “เพจคณะราษฎร” ที่ร่วมขับเคลื่อนมาตลอดปี 2563 กลายเป็น “เพจปลอม” ไปเสียอย่างนั้น ทางเพจ “คณะราษฎร” ก็ได้โพสต์ข้อความตอบโต้ว่า "อันราษฎรนั้นมีทั้งราษฎรแท้ และราษฎรเก๊ ม็อบราษฎร หาได้มีทุกคนเป็นแกนนำอย่างที่เขาหลอกลวงไม่ - รุ้ง ปนัสยาไม่ได้กล่าวไว้” และ "ราษฎรทุกคนมีความเท่าเทียมกัน แต่ราษฎรบางคนมีความเท่าเทียมกันมากกว่าคนอื่น"

เป็นการสะท้อนรอยร้าวภายในการเคลื่อนไหวของคณะราษฎร 2563 ที่ว่า “คนเท่ากัน” หรือ “ทุกคนคือแกนนำ” ไม่มีอยู่จริง

อีกทั้งยังเป็นการตกผลึกด้วยว่า มุกตื้นๆอย่าง “ไม่มีแกนนำ - ทุกคนคือแกนนำ” นั้น “ไม่เวิร์ก”



 พระบรมฉายาลักษณ์ฯ หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คลองเปรม ขณะถูกวางเพลิง

 แอมมี่สาดสีใส่ตำรวจ
ชัดๆ กับช็อตล่าสุด “ม็อบสามนิ้ว” ที่อุปโลกน์ขึ้นมาในชื่อใหม่ว่า “รีเด็ม (REDEM)” ชวนกันไปบุกบ้านหลวงของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ หรือ ร.1 พัน.1 รอ. ถ.วิภาวรังสิต เมื่อวันที่ 28 ก.พ.63

ขนาดใกล้ถึงเวลานัดหมาย “ทีมตีปี๊ป” ยังต้องโพสต์รัวๆ ขอกำลังมวลชนให้มาร่วม สุดท้ายโหรงเหรง มีแต่ “เด็กอาชีวะสายบวก” ที่ร่างกายต้องการปะทะเสียส่วนใหญ่

หลายฝ่ายจับตาว่า ชุมนุมรอบนี้จะทีเด็ดอะไรหรือไม่ แต่มิวายฉายหนังเรื่องเก่า นำมวลชนไปตัดลวดหนาม เคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ ขว้างปาสิ่งของยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ต้องยกระดับการปฏิรูปฉีดน้ำ-ยิงแก๊สน้ำตา

แต่หนนี้ห้าวเป้งเกินเบอร์ เจอเจ้าหน้าที่ยกระดับมาตรการควบคุมฝูงชน งัด “กระสุนยาง” ออกยิงสกัดกั้น เพราะมวลชนทำท่าว่า จะบุกเข้าไปใน “เขตหวงห้าม” ก่อนจะวิ่งหนีกันอลหม่านเป็นผึ้งแตกรัง

แล้วมาโพนทะนาว่า “ตำรวจทำร้ายประชาชน” ทั้งๆ ที่วิดีโอบันทึกภาพได้ไม่น้อยว่า ผู้ชุมนุมเองก็ไม่ได้เบา ปาสิ่งของใส่อย่างกับพายุห่าฝน

ขณะเดียวกัน พอสถานการณ์เริ่มแรง ชักมั่ว คุมกันเองไม่อยู่เพราะยุทธ์ศาสตร์ทุกคนเป็นแกนนำ ไม่มีเฮดหลักคอยบัญชาการ สภาพเลยออกมาเละตุ้มเป๊ะ

ก่อนที่บรรดา “แกนนำคีย์บอร์ด” นั่งห้องแอร์ พยายามขอให้แยกย้ายกลับบ้านเพื่อความปลอดภัย ยังไร้ความหมาย

ตลกร้ายกว่า บรรดาพวกที่เป็นต้นคิด ต้นเรื่อง ที่นำมวลชนมาที่ ร.1 พัน 1 รอ. ตอนเกิดเหตุปะทะ หาหัวไม่เจอแล้ว เหมือนมีหน้าที่ “พาคนมาเท แล้วชิ่งเอาตัวรอด”

ไม่เท่านั้นยังทำตัวตอกย้ำที่ถูกมักล้อเลียนจาก “ม็อบสามนิ้ว” เป็น “ม็อบสามกีบ” เข้าไปอีก เมื่อปรากฎคลิปวิดีโอชายรายหนึ่ง ซึ่งในกลุ่มรีเด็ม ปีนขึ้นไปเดินบนตู้คอนเทนเนอร์ที่กั้นแนวตำรวจควบคุมฝูงชน กับกลุ่มผู้ชุมนุม ก่อนที่จะทำท่าเหมือนควักอวัยวะเพศปัสสาวะใส่มาทางกลุ่มตำรวจควบคุมฝูงชนด้านล่าง ท่ามกลางเสียงกรี๊ดสนับสนุนจากกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยกัน

ภายหลังวิดีโอคลิปดังกล่าวถูกแชร์ต่อ ก็เป็นการประจานพฤติกรรม “ไร้อารยะ” แม้แต่พวกเดียวกันยังรับไม่ได้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานาว่า เหมือน “สัตว์เดรัจฉาน” ที่ไม่มีนิ้ว มีแต่กีบอย่างที่เขาว่า

เมื่อมีกระแส “เชิงลบ” บรรดา “แกนนำที่อ้างว่าไม่ใช่แกนนำ” ก็ตัดหางทันที โยนไปว่าเป็นพฤติกรรมของ “คนๆ เดียว” ไม่เกี่ยวกับคณะราษฎร

แล้วยังอุตส่าห์พยายาม “แก้เกี้ยว” ยกประเด็น “รุนแรงเกินกว่าเหตุ” ที่ทางตำรวจกระทำกับฝ่ายม็อบ มาร้องแรกแหกกระเชอต่อ โดยเฉพาะบรรดาพวก “เซเลปบริตี้หิวแสง” ทั้งหลาย ที่ออกมาโพสต์ มาทวิตฯ ประณามเจ้าหน้าที่

ไม่ว่าจะเป็น “หนูนา” หนึ่งธิดา โสภณ นางเอกสาวชื่อดัง ที่อดีตเคยแสดงภาพยนตร์ และร้องเพลงเฉลิมพระเกียรติฯ ที่ทวีตรัวๆ แซะตำรวจ-รัฐบาล ไม่ยั้ง

หรือ “หมิว” สิริลภัส กองตระการ ดาราสาว ที่อ้างว่าไปตระเวนขับรถรับ-ส่งผู้ชุมนุมในคืนนั้นที่หน้า ร.1 พัน.1 รอ. ถ.วิภาวรังสิต พร้อมกับกัดจิกสื่อทำนองว่า บิดเบือนที่รายงานว่า ผู้ชุมนุมขว้างปาสิ่งของเจ้าหน้าที่ จนกลายเป็น “เซเลปบริตี้คนใหม่” ของวงการ “ม็อบสามนิ้ว” ทว่า หน้าของ “สาวหมิว” ก็แหกยับเยินไม่แพ้กัน เพราะที่หน้า ร.1 พัน.1 รอ. ถ.วิภาวรังสิต ตัวเลขคนเจ็บบ่งชี้ชัดว่า ใครกันแน่ที่ฝักใฝ่ความรุนแรง โดยจากการชุมนุมของกลุ่มรีเด็ม เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ พบว่า มีนำส่งโรงพยาบาล จำนวน 33 ราย แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ 23 ราย และประชาชน 10 ราย

ที่สำคัญ เหตุการณ์นี้ฝ่ายที่เสียชีวิตคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน ต้องมาสังเวยชีวิตให้กิจกรรมของ “เด็กเอาแต่ใจ” จากภาวะหัวใจวาย ในขณะปฏิบัติภารกิจ

ดูแล้ว “ม็อบสามนิ้ว” ไปต่อลำบาก เพราะไม่ได้พังแค่เมื่อวันที่ 28 ก.พ แต่บรรดา “เซเลปฯ ม็อบ” ยังขยันสร้าง “ความโสมม” ให้กับม็อบเป็นระยะ ประหนึ่งว่าแข่งกันเละ

 แอมมี่ชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ก่อนคุมตัวขึ้นรถไปเรือนจำ เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี
อย่างล่าสุด “แอมมี่ The Bottom Blues” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ ไปทำวีรกรรมเหยียบย่ำหัวใจคนไทย ด้วยการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ฯ หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คลองเปรม

น่าสนใจว่า ภายหลังเกิดเหตุแกนนำ-แนวร่วม “ม็อบสามกีบ” ต่างพากันโพสต์ประหนึ่งว่า มีการสร้างสถานการณ์กันเองในฝ่ายรัฐบาล แล้วโยนความผิดให้ผู้ชุมนุม

เย้ยหยันประมาณว่า เผาเสร็จมีการถ่ายรูปไปรายงาน “นาย” ด้วย

จากนั้นก็มีกระแสข่าวว่า มีหลักฐานว่า “นักร้อง 3 นิ้ว” เป็น “มือวางเพลิง” บรรดานักวิชาการ นักเคลื่อนไหว สาวกสามนิ้ว ต่างทำตัวเป็น “โคนันสามนิ้ว” จับพิรุธเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ากลั่นแกล้ง จ้องจะเก็บแกนนำ

ทั้งที่ย้อนไปหลังวันก่อเหตุ เฟซบุ๊ก The Bottom Blues ของ “แอมมี่” ก็โพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์หน้าเรือนจำคลองเปรมที่กำลังถูกเพลิงเผาไหม้ พร้อมระบุข้อความว่า “สื่อคงไม่กล้าออก มิตรสหายท่านหนึ่งแจ้งว่า เมื่อคืนเกิดเหตุไฟไหม้พระบรม ที่หน้าเรือนจำคลองเปรม คนละ 1 แชร์แด่อิสรภาพ #ปล่อยเพื่อนเรา”

ต่อมาก็ได้โพสต์ภาพแคปหน้าจอจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Pakinai Chomsinsubmun หรือ นายภาคิไนย ชมสินทรัพย์มั่น หรือ บอล นักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์หน้าเรือนจำคลองเปรม ระบุว่า “มิตรฯ ท่านหนึ่งแจ้งมา เมื่อคืนไฟไหม้รูปรัชกาลที่ 10 หน้าเรือนจำคลองเปรม”

ที่สำคัญหลังถูกจับกุม ตัว “แอมมี่” เอง ยังออกมาสารภาพสิ้นว่า เป็นผู้ลงมือกระทำเอง เพราะไม่พอใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำที่ยังถูกขังอยู่ในซังเตจากคดีความผิดมาตรา 112 ได้ ก็ยังมีบางพวก “ไม่เชื่อ” แต่พอมีการงัดหลักฐานด้วยภาพวงจรปิด บรรดาคนพวกนี้แทบจะปิดเฟซบุ๊กหนีกันเลยทีเดียว

 ผู้ชุมนุม “ม็อบ 3 นิ้ว” ทำท่าควักอวัยวะเพศปัสสาวะใส่ต่อหน้าตำรวจควบคุมฝูงชน
ขณะที่พวกสามนิ้วเข้าเส้น ยังหน้ามืดตามัว เห็นกงจักรเป็นดอกบัว พลิกลิ้นแก้เกี้ยว ยกย่องว่า “แอมมี่” เป็น “วีรบุรุษ” กล้าทำกล้ารับ สมเป็นชายชาติแห่ง “วงการสามนิ้ว”

ทั้งที่ข้อเท็จจริง ที่ต้องเปิดปาก เพราะหลักฐานมันแน่น ไม่มีช่องทางให้ดิ้นหนี ความจริงมาในรูปแบบวิดีโอ เก็บรายละเอียดได้ทุกช็อต ไม่เว้นแม้แต่ตอนกรรมตามสนอง ร่วงลงจากนั่งร้านระหว่างวางเพลิง

ไม่เพียงแต่ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังมีคดี “วางเพลิงเผาทรัพย์” ที่โทษทัณฑ์สูงถึง “ประหารชีวิต” ทำเอาต้องไม่หนีหัวซุกหัวซุนออกจากโรงพยาบาลใน กทม. เพื่อไป จ.พระนครศรีอยุธยา จนตำรวจต้องตามไปตะครุบตัว

ขณะที่ “ภาษากาย” ตอนตำรวจเอาหมายไปรวบตัว แทบจะเป็น “แอมมี่” คนละคนกับที่ขึ้นไฮปาร์ก เอาสีไปสาดตำรวจ เพราะน้ำเสียงสั่นเครือ อาการออกชัดเจนว่า “กลัวขึ้นสมอง”

สำหรับ “แอมมี่” เป็นศิลปินนักร้อง-นักแต่งเพลงหนุ่มวัย 30 ต้นๆ เคยมีผลงานอัลบั้มเพลงในนามวง The Bottom Blues (เดอะบอตทอมบูลส์) 2 ชุด ก่อนประกาศยุบวงเมื่อปี 2556 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยว ผลงานสร้างชื่อของวง The Bottom Blues คือ เพลง “1 2 3 4 5 I Love You” (วัน ทู ทรี โฟร์ ไฟฟ์ ไอ เลิฟ ยู) ซึ่งกลายเป็นเพลงฮิตอีกครั้งหลัง “แอมมี่” เข้ามาร่วมชุมนุมกับม็อบสามนิ้ว โดยมีใส่ “คำด่า” พร้อมชื่อเล่น “ตู่” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าไปแทน 2 พยางค์สุดท้าย

สำหรับวงการบันเทิง “แอมมี่” เคยตกเป็นดรามาสนั่นวงการ ทั้งครั้งที่แต่งงานกับแฟนสาว “ไอด้า” ไอรดา ศิริวุฒิ ที่ถูกยกให้เป็น “คู่รักเด็กแนว” โดยยอมรับว่าแฟนสาวท้องก่อนแต่ง แต่อยู่กันได้ไม่นานทั้งคู่ก็ต้องเลิกรากันด้วยเหตุว่า “แอมมี่มีกิ๊ก” เหลือสถานะพ่อ-แม่ของลูกสาว จากนั้น “แอมมี่” ก็ยังมีเรื่องราวดรามารักๆ ใคร่ๆ ในวงการตกเป็นข่าวต่อเนื่อง ทั้ง คบหากับทางสาว “วี” วิโอแลต วอร์เทีย นักร้องชื่อดัง แบบไม่เปิดเผย มาถึง “ไทร-ปนัสยา” บิ้วตี้บล็อกเกอร์สาว ที่มีข่าวถึงขั้นเตรียมเข้าประตูวิวาห์ แต่ก็ต้องล่มไปเพราะเหตุผลเดียวกับที่เลิกกับภรรยาคนแรก ฝ่ายผู้หญิงถึงขั้นโพสต์ว่า “สงสารเหยื่อคนต่อไป”

กระทั่งชื่อของ “แอมมี่” กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงคนแรกๆ ที่โดดเข้าร่วมการชุมนุมกับ “ม็อบราษฎร” ตั้งแต่ยังเป็นกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” โดยเริ่มโพสต์ข้อความสนับสนุน และร่วมการชุมนุม ยืนยิ้มชู 3 นิ้ว ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนโผล่ไปนั่งชูสามนิ้วอยู่หน้า สน.สำราญราษฎร์ หลังจากขอเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจเพื่อนศิลปิน “ฮอคกี้” เดชาธร แร็ปเปอร์เจ้าของเพลง “ประเทศกูมี” ศิลปินวง Rap Against Dictatorship

ก่อนก่อวีรกรรม “สาดสี” ใส่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ขณะที่ “ไผ่ ดาวดิน” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา พร้อมแกนนำม็อบปลดแอก 15 คน เข้ารายงานตัวตามหมายเรียก เมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค.63 โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ด้วยศิลปะ หลังประชาชนถูกป้ายสีมามากแล้ว

จากนั้นบทบาทของ “แอมมี่” กับม็อบปลดแอก และม็อบราษฎร ก็เด่นชัดขึ้น และถือเป็นคู่ซี้กับ “ไผ่ ดาวดิน” แกนนำคนสำคัญ จนต้องนอนคุกครั้งแรกในชีวิตที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คลองเปรม ที่ต่อมาเจ้าตัวไปก่อเหตุเผาพระบรมฉายาลักษณ์ฯ จากคดีร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 13 ต.ค.63 ก่อนได้รับการประกันตัวออกมา และยังมีคดีติดตัวมากกว่า 10 คดี

ผลพวงจากการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ทำให้ “แอมมี่” ถูกยกเลิกงานแสดงคอนเสิร์ตเกือบทั้งหมด และเคยมีดรามากรณีมีชื่อขึ้นเล่นคอนเสิร์ต “บิ๊กเมาน์เท่น” เมื่อช่วงปลายปี 2563 แต่ประกาศถอนตัว เนื่องจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยอ้างว่าจะถูกปล่อยข่าวว่า มีคนติดโควิด-19 มาร่วมงานคอนเสิร์ต ซึ่งสุดท้ายก็พบว่ามีผู้ติดเชื้อไปร่วมงานดังกล่าวจริงๆ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางการเมือง

ก่อนก่อเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์ “แอมมี่” แสดงออกชัดเจนถึงจุดยืนเกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ครั้งหนึ่งได้โพสต์ภาพล้อเลียนเข้าข่ายหมิ่นพระเกียรติ “ในหลวง ร.9” จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในทางลบอย่างกว้างขวาง

กับวีรกรรมวางเพลิงเผาทรัพย์ เจ้าตัวก็ยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ “โง่เขลา” ตามที่โพสต์ไว้ระหว่างถูกควบคุมตัวว่า “การเผา...ในครั้งนี้ ผมยอมรับว่าเป็นความคิดที่โง่เขลา และทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย”

นึกถึงวรรคทองในบทกวีที่ชื่อ “เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน” ผลงานของ วิทยากร เชียงกูล ที่ถือเป็น “คัมภีร์” ของคนหนุ่มสาวยุคแสวงหา ที่ว่า “ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย...”

วันนี้กลับกลายเป็น “ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันเผา”

ทั้งพฤติกรรม “ไร้อารยะ-โง่เขลา” ที่ซ้ำเดิมกระแส “ขาลง” ของม็อบให้หนักขึ้น

วีรกรรมของ “แอมมี่” ก็คงล้อจากชื่อวงดนตรีของตัวเอง “The Bottom” ที่แปลความว่า “ต่ำที่สุด”

ต่ำที่สุดทั้งในแง่ย่ำยีหัวใจคนไทยทั้งชาติ แล้วยังกระทืบกระแสม็อบสามนิ้วที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วให้ตกต่ำลงไปราวกับ “ดิ่งนรก”

ผนวกกับพฤติกรรม “ต่ำตม” ของแกนนำคนอื่นๆ ที่ “ไต่บันได-ดันเพดาน” กระทบกระเทียบถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” มาโดยตลอด

อยู่ที่ว่า “แอมมี่และคณะ” จะนำพากันไปพบจุดจบและจุดหมายปลายทางตรงไหนเท่านั้นเอง.


กำลังโหลดความคิดเห็น