xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กปั๊ด” แถลงผลสอบคดีจับไอซ์ 1.5 ตัน ไร้หลักฐานโยง “พล.ต.ท.-พ.ต.อ.” ปัดศึกเกาเหลาบิ๊กสีกากี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.แถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง
MGR Online - ผบ.ตร.นำทีมแถลงผลการตรวจสอบคดีจับไอซ์ 1.5 ตัน ที่ จ.ตาก เมื่อปี 62 ชี้ พยานหลักฐานยังไม่พบพล.ต.ท.- พ.ต.อ.” เอี่ยว อ้างข้อมูลเบลอถูกหยิบไปบ่อนทำลายคน-องค์กร ปัดศึกเกาเหลาบิ๊กสีกากี ย้ำในองค์กรไม่มีคลื่นใต้น้ำ



วันนี้ (5 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส. พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ รอง ผบช.ภ.6 พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. และ พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.ภ.6 แถลงข่าวชี้แจงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่มีนายตำรวจยศ พล.ต.ท. และ พ.ต.อ. ถูกพาดพิงในคดีจับกุมไอซ์น้ำหนัก 1.5 ตัน ที่ จ.ตาก เมื่อปี 2562 หลังจากเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.มนู และ พล.ต.ท.มนตรี ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีนี้

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เนื่องจากที่ผ่านมา มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการสืบสวนคดียาเสพติดในพื้นที่ บช.ภ.6 และมีเอกสารราชการบางส่วนหลุดออกไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชน ขอเรียนว่า เอกสารเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนสอบสวน หากเทียบแล้วถือว่าเป็นจำนวนน้อย กลายเป็นว่าข้อเท็จจริงบางส่วนที่หลุดออกไป แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นทั้งหมด จึงเกิดการตั้งคำถามถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใส มีการช่วยเหลือใครเป็นพิเศษหรือไม่ สื่งเหล่านี้เป็นบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราต้องทำความจริงให้ปรากฏ เพราะหากประชาชนไม่เชื่อกระบวนการสืบสวนสอบสวน ความเสียหายจะตามมา และจะไม่มีใครยึดกฎกติกา วันนี้จะเล่าในส่วนที่ไม่กระทบต่อรูปคดี เนื่องจากคดีมีทั้งตัดสินไปแล้ว และยังอยู่ในชั้นกระบวนการยุติธรรม

พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.ภ.6 แถลงชี้แจงขั้นตอนการสืบสวนคดี
พ.ต.อ.สราวุธ อธิบายเส้นทางเครือข่ายยาเสพติดนี้ ไล่เรียงตั้งแต่ปี 2557-2563 โดยปี 2557 ตำรวจจับกุม นายฐปนันท์ ธรรมรัตน์ธาดา หรือ หนูเฉิน พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ถูกออกหมายจับคดีฟอกเงินทั้งสิ้น 56 หมาย ระหว่างการดำเนินคดี นายฐปนันท์ หลบหนีประกันชั้นอุทธรณ์

“ต่อมา 18 ต.ค. 2562 ที่ด่านห้วยยะอุ จับกุมรถบรรทุก พร้อมไอซ์ 1.5 ตัน วันดังกล่าวจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย คือ นายสมโชค เนียมสกุล อายุ 38 ปี เป็นคนขับ และ นายสกล การุณรักษ์ อายุ 34 ปี นั่งคู่มาข้างคนขับ โดยทั้งคู่ให้การซัดทอดไปถึงผู้เกี่ยวข้องในขบวนการอีก 8 ราย โดยตำรวจได้ออกหมายจับไว้และตามจับกุมได้ 6 ราย มีผู้หลบหนี 2 ราย คือ นายเกิดชนะ มินา และ นายยงค์ วงศ์สว่างกุล”

พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวต่อไปว่า วันที่ 22 ก.ค. 2563 บช.ปส. และ ป.ป.ส. ขยายผลจับกุมและยึดทรัพย์เจ้าของอู่ต่อรถบรรทุกที่ใช้ขนถ่ายยาเสพติดไอซ์ 1.5 ตัน แต่แยกดำเนินคดีอีกสำนวน กระทั่ง 23 ต.ค. 2563 ตำรวจสามารถตามจับกุมนายเกิดชนะ ได้ ดำเนินการสอบปากคำ และส่งตัวให้อัยการ จุดนี้ นายเกิดชนะ ให้การพาดพิงถึงพลเรือน 4 ราย และข้าราชการ 4 ราย ทีมสืบสวนจึงนำข้อมูลทั้งหมดประกอบสำนวน นอกจากนี้ ยังพบข้อเท็จจริงบางอย่าง จนขยายผลดำเนินคดี น.ส.หลิน-ชาล์ คนจัดการเงิน และ นายฐปนันท์ พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่หลบหนีประกันชั้นอุทธรณ์เมื่อปี 2557 จึงแยกดำเนินคดีอีกสำนวน ในข้อหาสมคบ (ม.8 วรรคแรก) และจับกุม น.ส.หลิน-ชาล์ ได้เมื่อ 24 ก.พ. 2563 พร้อมอายัดเงินสดได้กว่า 200 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในส่วนอื่นๆ หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็จะขยายผลต่อไป

พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวอีกว่า สำหรับการจับกุมนายสมโชค และ นายสกล พร้อมพวกอีก 6 ราย ในคดีไอซ์ 1.5 ตัน ศาลตัดสินเมื่อ 24 กันยายน 2563 ผลตัดสินมีทั้งจำคุกตลอดชีวิต จำคุก 33 ปี และยกฟ้อง 3 ราย ส่วนกรณีการจับกุมเจ้าของอู่ต่อรถ สำนวนอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล และกรณีการจับกุม น.ส.หลิน-ชาล์ พนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด ได้ส่งสำนวนให้อัยการเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2564

แผนผังการสืบสวนคดี
ด้าน พล.ต.อ.มนู กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำงานร่วมกับ ผบช.ปส.และทีมงาน หลังได้รับสั่งการจาก ผบ.ตร. ก็ลงไปดูภาพรวมคดี ตั้งแต่การจับกุมเมื่อปลายปี 2562 พบว่าการดำเนินการของตำรวจภูธรภาค 6 ได้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายทุกประการ ส่วนที่ นายเกิดชนะ ให้การซัดทอด ถ้ามีความเชื่อมโยงหรือการสืบสวนไปถึงใคร เราก็ดำเนินการตาม พ.ร.บ.สมคบ ตามที่ภูธรภาค6 ชี้แจงไปแล้ว ส่วนที่เหลือยังไม่พบความเชื่อมโยงกับผู้อื่นแต่อย่างใด

ขณะที่ พล.ต.ท.มนตรี กล่าวว่า ตนได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.มนู ให้สืบค้นความเชื่อมโยงของผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี ทั้งพลเรือน และข้าราชการ ที่ถูกระบุในสำนวนการสอบสวน พบบางส่วนที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง โดยตนได้รายงานให้ พล.ต.อ.มนู ทราบทั้งหมดแล้ว

พ.ต.ต.สุริยา กล่าวว่า กรณีการสืบสวนเครือข่ายนายฐปนันท์ ทางสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมสืบสวนขยายผลกับตำรวจ รายละเอียดมีบันทึกไว้ในเอกสาร ทั้งนี้ นายฐปนันท์ เป็นเป้าหมายการสืบสวนของ ป.ป.ส. มาตั้งแต่ ปี 2552 เขามีพฤติการณ์ครอบครองยาบ้า 2.6 หมื่นเม็ด และอาวุธปืน เขาสู้คดียาเสพติดหลุด แต่โดนจำคุก 1 ปี ครอบครองอาวุธปืน เมื่อเข้าไปในเรือนจำได้ไปสร้างเครือข่ายพ่อค้ายาเสพติดรายสำคัญหลายคน หลังพ้นคุกมา 2553 ก็โลดแล่นอยู่ในวงการ ต้องเรียนว่าในเรื่องนี้ทาง ป.ป.ส. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ขยายผลจากภูธรภาค 6 นำเสนอ และคงไม่ยอมละเว้นใครคนใดคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทั้งหมดต้องอยู่บนพื้นฐานข้อมูลพยานหลักฐานที่สามารถฟ้องเอาผิดได้

นายเกิดชนะ มินา ผู้ต้องหาที่ให้การพาดพิงนายตำรวจทั้องสองนาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการตรวจสอบบุคคลที่ถูกพาดพิง มีข้าราชการตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวว่า คนแรกที่มีการพูดถึงเป็นพลเรือน ชื่อ นายยง หรือ หวัง วงศ์สว่างกุล ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีไอซ์ 1.5 ตัน ได้หลบหนีไปยังติดตามจับกุมตัวไม่ได้ คนที่สองเป็นข้าราชการ คือ พ.อ.ยศพล สิทธิกรรณ ถูกออกหมายจับในคดีสมคบ ที่นิคมเขาบัวแก้ว จ.นครสวรรค์ หลังจากเป็นข่าวมีการไล่ล่าตัวจนกระทั้งสามารถจับกุมตัวได้หลังจากสอบปากคำนายเกิดชนะ ลำดับต่อมาในคำให้การถึง น.ส.เฟื่องฟ้า เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในหมู่บ้านแต่ไม่มีหลักฐานสิ่งบ่งชี้ที่เพียงพอจะออกหมายจับได้ เรารู้เพียงว่า น.ส.เฟื่องฟ้า ถูกกล่าวอ้างถึงแต่ยังไม่มีหลักฐาน ส่วนตำรวจทั้ง 3 คนที่ถูกกล่าวถึงในฐานข้อมูลมีการตรวจสอบเยอะมาก ในชั้นนี้ยังไม่พบหลักฐานที่พนักงานสอบสวนจะสามารถนำไปสู่การขออนุมัติในคดีสมคบต่อเลขาธิการ ป.ป.ส.ได้ จึงเป็นเพียงข้อมูลในการสืบสวนได้เท่านั้นเอง

“ข้อเท็จจริงในคดีมีแค่คำกล่าวอ้างแบบอย่างนั้น ในส่วนที่ตนดำเนินคดีได้ในส่วนคดีของหลิน-ชาล์ กับ นายฐปนันท์ ไม่ได้ออกหมายจับในคดี 1.5 ตัน แต่ตนเอาหลักฐานจากสิ่งที่มีแล้วมาเปิดเป็นคดีใหม่ เป็นยาเสพติดคนละล็อต ฉะนั้นแล้ว รายละเอียดในคดีอยู่ในชั้นของอัยการ ชี้แจงได้เพียงว่ากรณีของ หลิน-ชาล์ กับ นายฐปนันท์ ที่ขยายมาจากคำให้การของนายเกิดชนะ เป็นคดียาเสพติดที่ไม่ใช่ 1.5 ตัน แต่เป็นคดียาเสพติดที่มีหลักฐานอื่นบ่งชี้เลยว่าเกี่ยวข้องกัน” พ.ต.อ.สราวุธ กล่าว

ถามต่ออีกว่า ได้มีการเรียกตำรวจที่ถูกพาดพิงไปสอบปากคำหรือไม่ พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐาน ตนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกเข้ามาให้การ เมื่อถามถึงหลิน-ชาล์ ที่เป็นตัวเชื่อมให้นายฐปนันท์ ไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อจ่ายค่าดำเนินการต่างๆ มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายสราวุธ กล่าวว่า หลักฐานในส่วนนี้ยังไม่มี พยายามหาแล้วแต่ไม่พบเลย ทั้งนี้ ได้สอบปากคำหลิน-ชาล์เพิ่มเติม ซึ่งให้การรับในส่วนที่ฟอกเงินเท่านั้น จากการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดพบว่า หลิน-ชาล์ มีสิ่งบ่งชี้ว่าทำธุรกิจจริงๆ เฉพาะปี 2563 แค่ 500 ล้านบาท แต่จริงแล้วมีเงินวิ่งออกไปที่พม่ากว่า 2,000 ล้านบาท ฉะนั้น ตัวเลขที่เขย่งกันอยู่อีกพันกว่าล้านมันคืออะไร ซึ่ง หลิน-ชาล์ จะต้องให้รายละเอียดและข้อมูล ทั้งนี้ บัญชีการเงินไม่พบว่ามีการโยงไปถึงเจ้าหน้าที่รายใด โดยได้ตรวจสอบบัญชีของหลิน-ชาล์ บัญชีบริษัท ซีเปีย บัญชีบริษัท ซันเดย์ ซึ่ง หลิน-ชาล์ เป็นผู้ดำเนินการอยู่ ตั้งแต่ปี 2562-2563 ไม่พบว่าไปแตะถึงบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างถึงแต่อย่างใด


ส่วนประเด็นที่ถูกซัดทอดว่าไปพบกันที่เมียวดีคอมเพล็กซ์ พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวว่า ที่บอกว่า ไปพบกันที่เมียวดีคอมเพล็กซ์ เป็นคำพูดของคนที่เราได้ข้อมูลกลับมา เราก็ต้องหาหลักฐาน เหตุที่เกิดขึ้นประมาณปลายปี 2562 ซึ่งพยายามหาพยานหลักฐานแล้วแต่มีสิ่งบ่งชี้แค่นี้จริงๆ ซึ่งเป็นเพียงคำซัดทอดชี้แจงของผู้ต้องหาว่าไปอยู่ที่นั้นไปเจอไปตกลงไปพูดคุย ซึ่งตนต้องหาหลักฐานในช่วงปี 2562 แต่ตนพยายามหาแล้วแต่ไม่พบจริงๆ โดยที่พูดไว้เพียงครั้งเดียว

ถามต่อว่าประเด็นตำรวจที่ถูกพาดพิงถึงขณะนี้สืบสวนจนสิ้นข้อสงสัยแล้วใช่หรือไม่ พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวอีกว่า ในส่วนการสืบสวนยังไม่จบ ตนยังคงต้องทำต่อไป ไม่ใช่เฉพาะประเด็นที่ถูกกล่าวอ้าง นอกเหนือที่ถูกกล่าวอ้างก็ยังทำอยู่

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเอกสารที่หลุดไปคือชิ้นเดียว ตนว่าสื่อมวลชนก็มีอยู่ในมืออยู่แล้ว ลองอ่านดูที่กล่าวถึง “พล.ต.ท.” เขาเขียนว่าอย่างไร เขาถามว่ารูปที่พนักงานสอบสวนให้ดูท่านเคยเห็นไหม เขาก็บอกว่าไปเห็นมาที่เมียวดี แต่ไม่ได้พูดต่อว่ามาทำอะไร มาหาใคร เจอใคร อะไรอย่างไรไม่มีเลยมีแค่นี้

“สมมติว่าเราจบใครมา แล้วเขาบอกว่าคนนี้มาไถเงิน แล้วไม่ให้ เราจะจับตำรวจมาสอบไหม จะต้องดูอย่างนี้ด้วย เพราะฉะนั้นการที่จะฟังอะไร เราต้องชั่งน้ำหนักว่าวันเวลาที่พูดเมื่อไหร่ ก็ไม่ได้มีระบุ เจ้าหน้าที่ก็ต้องทำไปตามข้อเท็จจริงที่พูดถึง ทางตำรวจภูธรภาค 6 ก็ได้ดำเนินการไปไม่จบแค่นี้ ของศูนย์ปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจยาเสพติดก็ทำ ทีมงานพล.ต.อ.สุชาติ ก็ทำทั้งหมด อย่างรองสุชาติมีอะไรก็จะมาเล่าให้ตนฟัง และท่านก็ทำมาตลอด ถ้ามันจะเจออะไรมันก็ต้องเจอ อะไรที่ควรทำก็ทำไปแล้ว แต่ถามว่าจะยุติแค่นี้ไหม ก็ไม่ใช่ เพราะยังมีงานที่ยังไม่เสร็จ การสืบสวนเส้นทางการเงินเท่าที่เห็น เอาอย่างนี้ดีกว่าการสืบสวนไปถึงสงสัยคนไหนเขาก็เอามาดู แต่ว่าไปถึงไหนถ้ามันเจอมันเจอแล้ว ณ วันนี้ เพื่อให้สังคมสบายใจเราก็ไม่ได้หยุดถ้ามีพยานหลักฐานเพิ่มเติมดำเนินคดีได้เราก็ทำไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น” ผบ.ตร.กล่าว


พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ พ.ต.อ.สราวุธ กล่าวถึง เงินจำนวนกว่า 2 พันล้านบาท ก็จะต้องมาไล่ดูว่าไปถึงใครอีก เบื้องต้นยังไม่เจอชนกับใครโดยเฉพาะคนที่ถูกพาดพิง คือ ถ้ามันมีพยานหลักฐานขนาดเอกสารยังรั่วมาได้ แล้วถ้ามันมีมันจะไม่รั่วหรือ ถ้ามีก็ต้องออกสื่อแล้ว ตนถามตรรกะง่ายๆ ถ้ามีก็ต้องออกสื่อแล้วจะไปอยู่ตรงไหน ปัญหาคือมีหรือไม่ ทำอะไรก็ต้องชั่งน้ำหนัก เราไม่ได้คิดว่าคนนี้จะพิเศษกว่าคนนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่อะไรที่มันเบลอที่ไม่ชัดเจนก็ถูกหยิบไปเป็นประโยชน์ ถูกหยิบไปบ่อนทำลายความเชื่อถือ สิ่งที่อันตรายคือเรื่องนี้ เรื่องการบ่อนทำลาย ทำลายองค์กรไม่ได้ ทำลายคนก็ได้ ตนเรียนว่าจะผิดจะถูกไม่มีใครช่วยใครได้ ถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีใครมาปิดอะไร ไม่มีใครปิดเรื่องแบบนี้

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า เราตั้งใจ เราก็จะทำให้ ถ้าใครมีข้อมูลที่ดีๆ ข้อมูลที่จะไปถึงใคร ยินดีรับหมด ตนอยากให้ใช้วิจารณญาณฟังเรื่องนี้ ทุกเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้ เพราะโลกสมัยนี้การสื่อสารไปเร็ว ข้อเท็จจริงบางส่วนหลุดออกมาแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ก็กลับไปที่พูดตั้งแต่แรกเปรียบเทียบเอกสารที่หลุดออกมาไม่กี่แผ่นกับที่เขามีเป็นร้อยเป็นพัน ท่านเห็นหมดนั้นหรือไม่ มันไม่ใช่หน่วยงานเดียวด้วย ในคดีข้อหาสมคบตำรวจต้องขออนุมัติเลขา ป.ป.ส. ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราทำเองได้ ยังมีชั้นอัยการ ชั้นศาลอีก และมีสื่อเป็นคนตรวจสอบพวกเรา ยืนยันไม่มีใครช่วยใครได้ ถ้าใครที่เกี่ยวเราไม่เคยละเว้น ป.ป.ส.สืบสวนกันตั้งแต่ปี 2552 ตำรวจภูธรภาค 6 มาเริ่มทำหลังจากผู้ต้องหาหลบหนีไป และเริ่มจับกุมที่ด่านเมื่อปี 2562 ก็ไล่มา ทุกคนก็ทำหน้าที่ การสืบสวนทำหลายหน่วยมาก ผมย้ำว่าทำหลายหน่วย แล้วการสอบสวนก็เป็นคณะทำงาน ก็ต้องดูด้วยว่าเราจะทำอะไรก็ต้องว่าไปตามน้ำหนักพยานหลักฐาน

“การฟังคนๆ เดียวพูด แล้วพูดครั้งเดียวว่าเคยเห็นคนนี้แล้วไง เห็นแล้วเขาไปทำอะไรไปรับเงินใครไปคุยกับใครที่ไหนเมื่อไหร่ ตัวเองไปร่วมกระทำผิดขนยา 3 ครั้ง จำได้หมดจำวันเวลาสถานที่ได้แต่เรื่องนี้ทำไมจำไม่ได้ก็ต้องดูด้วยก็เป็นสิทธิของเขาที่จะให้การ เราก็พยายามย้ำให้เกิดความชัดเจน เพราะถ้ายิ่งเบลอ ข้อมูลยิ่งไม่ชัดเจนยิ่งเบลอ คนที่เสียหายคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขาจะถูกหยิบไปเป็นประเด็นบ่อนทำลาย ตนพูดย้ำเรื่องนี้ บ่อนทำลายความเชื่อถือ ความไม่แน่ใจไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ถามตำรวจภาค 6 จะทำไปเพื่ออะไร เขาจับมาตั้งแต่ปี 2562 ฝากประชาชนถ้ามีอะไรที่เป็นประโยชน์ไม่มั่นใจตำรวจกลัวตำรวจช่วยกันแจ้ง ป.ป.ส. ปปง. อัยการ หรือนำมาออกกสื่ออีกก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ตนว่ามีช่องทางเยอะที่จะทำความจริงให้ปรากฏ เราก็ตั้งใจ ถ้ามีอะไรเรายินดีรับหมด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ ระบุ


ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจ 2 นายที่ถูกพาดพิงเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้ได้อย่างไร พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ก็ต้องไปดูว่าบรรยากาศในการพูดคุยวันนั้นเป็นอย่างไร อย่างรองต๊ะก็พูดว่าเขารู้จัก เพราะคนทำบ่อนตรงนั้น พูดแบบชาวบ้าน ก็คงต้องรู้จักกัน แล้วรู้จักกันแบบไหน เห็นให้เงินให้ทองกันอะไรอย่างไร ก็มีเอ่ยถึงบุคคลที่ 3 อีกคนหนึ่ง พร้อมเบอร์โทรศัพท์เป็นคนเดินเคลียร์ตำรวจ ทางภาค 6 ก็ดำเนินการไปแล้วเรื่องพวกนี้ ซึ่งต้องดูวันนั้นว่าอารมณ์ไปอย่างไรถึงมาถึงตรงนี้ได้ เมื่อพาดพิงถึงด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ เราก็ต้องตรวจสอบไม่ใช่จะไม่ทำ เมื่อเขาพูดมาขนาดนี้ก็ต้องตรวจสอบ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมาแล้วก็มีหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบ

เมื่อถามว่า ผบ.ตร.มองอย่างไรที่มีเอกสารหลุดออกมาใครจะได้ประโยชน์ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ท่านต้องตัดสินเอง แต่ผมมองผลกระทบที่เกิดความเสียหายมันเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจ ตนย้ำอีกครั้งอะไรที่มันไม่ชัดเจน ไม่รู้ผิดรู้ถูก มันจะเสียหาย หน้าที่เราคือทำให้มันชัดเจน เพราะเรื่องนี้จะถูกหยิบไปใช้ประโยชน์ได้ตลอดดเวลา เอาเรื่องนี้ไปพูดได้อีก 500 ปี ถ้ายังไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นจะต้องทำให้ชัดเจนให้ได้ อะไรที่ยังทำไม่เสร็จต้องไปทำ ประเด็นไหนที่มีข้อสงสัยต้องเคลียร์ วันนี้เห็นว่ามีความคืบหน้าพอสมควรจึงมาเล่าให้ฟัง ยังไม่จบ

ถามต่อว่าเอกสารที่หลุดออกมาถูกมองในมิติว่าอาจมีความขัดแย้งภายในองค์กรหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตนไม่ได้มองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง แต่มองว่าเราอยู่บนพื้นที่ที่ทำงานร่วมกัน แต่ใครหยิบไปใช้ประโยชน์แบบไหน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตนไม่คิดว่ามีความขัดแย้ง เพราะถึงวันนี้ทุกคนที่ร่วมมีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวนก็ยังคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ตลอด เพื่อทำให้เรื่องนี้มีความชัดเจน เพราะทุกคนก็อยากรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร เราพยายามทำให้มันชัดเจน เรื่องงานสืบสวนก็เรียนไปแล้ว ทางพล.ต.อ.สุชาติ เป็นเพื่อนตนมีอะไรไม่ใช่เฉพาะงานนี้งานเดียวก็คุยกัน มีอะไรก็มาเล่าให้ฟัง และได้บอกด้วยว่าได้สั่งการภาค 6ไปว่าอย่างไร แล้วหลังจากนั้นไปทำอะไรได้มาเพิ่มก็จะมาเล่าให้ฟัง การสืบสวนก็ทำมาตลอด ในขณะที่ท่านทำอยู่พนักงานสอบสวนก็ทำของเขาด้วย แต่พอมีเอกสารหลุดไป มีการสอบถามถึงประเด็นของนายเกิดชนะ ว่าภาค 6 ได้ทำหรือไม่ ซึ่งภาค 6 ก็ตอบไปแล้วว่าทำอะไรไปบ้าง ทีมงานทุกทีมไม่เคยหยุดทำกันมาตลอด ส่วนกรณีเอกสารหลุดก็ได้ให้จเรตำรวจลงไปตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งมีการดำเนินการไปแล้ว ส่วนคลื่นใต้น้ำคืออะไรตนไม่ทราบ คงไม่มี

เมื่อถามว่าหลังจากที่มีประเด็น ผบ.ตร.ได้เชิญ พล.ต.ท.ที่ถูกพูดถึงกับ พล.ต.อ.สุชาติ มาพูดคุยหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตนก็เห็น 2 คน ท่านคุยกันดี ไม่เห็นมีอะไร เจอกันก็เห็นคุยกันดี


คำต่อคำ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงผลสอบ “พล.ต.ท.-พ.ต.อ.” โดนซัดทอดเอี่ยวไอซ์ 1,500 กก.

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข

เรียนพี่น้องสื่อมวลชน ก็คงเป็นที่ทราบกันดี ที่ผ่านมามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องการสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดสำคัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6 แล้วก็มีเอกสารราชการบางส่วนหลุดออกไป ไปเผยแพร่ทางสื่อ ซึ่งก็เรียนว่าเอกสารนั้นมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนสอบสวน ถ้าเทียบกันกับจำนวนเอกสารที่หลุดออกไป มันจำนวนน้อย มันก็กลายเป็นว่า มีข้อเท็จจริงบางส่วนที่หลุดออกไป แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นข้อเท็จจริงทั้งหมด แล้วก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ มีการตั้งคำถาม มีการตั้งประเด็นข้อสงสัยต่างๆ มากมาย ว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใสหรือเปล่า มีการช่วยเหลือใครเป็นพิเศษหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้มันทำลาย มันเป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราก็ต้องทำความจริงให้ปรากฏ เพราะถ้าไม่ทำ ถ้าประชาชนไม่ศรัทธา ไม่เชื่อในเรื่องของกระบวนการสืบสวนสอบสวน ความเสียหายก็จะตามมา แล้วคนก็ไม่เชื่อถือในสิ่งที่ทำลงไป มันก็จะเกิดปัญหาความไม่เชื่อฟัง ไม่มีใครยึดกฎกติกากัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เราก็ตระหนักถึงปัญหานี้

วันนี้ก็จะพยายามมาเล่าเท่าที่ทำได้ในส่วนที่ไม่กระเทือนต่อการสอบสวนดำเนินคดี เนื่องจากคดีนี้ก็ยังมีทั้งที่ศาลตัดสินไปแล้ว และมีทั้งที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งก็จะพยายามให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้อธิบาย กรณีที่ท่านสงสัย ท่านก็สอบถามได้ เราก็จะตอบเท่าที่สามารถเปิดเผยได้

เรื่องนี้ ท่านรองฯ มนู ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้เป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบ และอย่างที่โฆษกชี้แจง ก็จะมีท่านผู้แทนจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มาด้วย แล้วก็มีพนักงานสอบสวนหลัก ก็คือของตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่งมีรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 มา แล้วก็มีท่านผู้บัญชาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมาด้วย ซึ่งก็เป็นการทำงานในนามของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภายใต้การกำกับของท่านรองฯ มนู

เดี๋ยวก็คงให้ไล่ไปตามลำดับที่ได้เตรียมการไว้

พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6
พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6

กราบเรียนท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ก่อนอื่นขอเรียนว่า ตำรวจภูธรภาค 6 ในจุดที่มีการเริ่มต้นคดีนี้ คดีไอซ์ 1.5 ตัน ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของตำรวจภูธรภาค 6 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการตรวจพบรถยนต์ เป็นรถบรรทุกที่มีช่องดัดแปลงพิเศษ ตำรวจก็มีความสงสัยและมีการจับกุม ตรวจค้นเจอยาไอซ์ 1.5 ตัน หลังจากนั้นก็มีการขยายผล ตำรวจภูธร จ.ตาก โดยผู้บังคับการ ได้มีการเข้าไปดำเนินการและมีการขยายผลจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม ในเรื่องนี้หลังจากที่มีการดำเนินการเบื้องต้นไป สืบสวนภาค 6 ได้ลงไปสนับสนุนการทำงาน แม้กระทั่ง ป.ป.ส.ภาค 6 ก็ได้ร่วมเข้าไปดำเนินการ หลังจากนั้นมีการออกหมายจับผู้ต้องหาหลายคน และในคำรับของผู้ต้องหาบางส่วนก็ซัดทอดถึงบุคคลอื่น ซึ่งเราสามารถที่จะออกหมายจับและดำเนินคดี และมีคดีเกี่ยวกับเรื่องสมคบ สนับสนุน ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกหมายจับผู้ต้องหาได้หลายคน และมีการสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปบางส่วนแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ ผมขออนุญาตให้ พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รองผู้บังคับการสืบสวนภาค 6 ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้มาตลอด และมีการประชุม มีการเข้าไปดำเนินการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ให้รายละเอียด ซึ่งมันมีรายละเอียดหลายจุด ก็เลยขออนุญาตให้ท่านรองฯ สราวุธ ได้ชี้แจงในส่วนนี้

พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รองผู้บังคับการสืบสวนภาค 6
พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รองผู้บังคับการสืบสวนภาค 6

ก่อนอื่นต้องขอเรียนทุกท่านให้ทราบว่า คดีนี้ถ้าหากเราจะมองเรื่องการบริหารจัดการคดี ขอให้มองเป็น 5 ห้วงเวลา ห้วงเวลาที่ 1 เกี่ยวกับนายฐาปนันท์ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2557 ลำดับต่อมา คือกรณีการตรวจค้นยาไอซ์ได้ 1.5 ตัน ปี 2562 ลำดับต่อมา มีการขยายผลจนกระทั่งไปจับกุมและออกหมายจับในคดีสมคบ อู่ที่ต่อรถคันนี้ได้ ผมใช้คำว่า อู่ 888 ปี 2563 ลำดับต่อมา เป็นกรณีการได้ตัวนายเกิดชนะ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับไว้แล้วในคดี 1.5 ตัน นี่คือส่วนที่สี่ เรียกว่า เกิดชนะ 2563 ลำดับต่อมา จากคำให้การเกิดชนะ มีหลักฐานบ่งชี้ไปถึงใครเกี่ยวข้อง ก็เลยออกหมายจับ ดำเนินคดีกับผู้หญิงที่ชื่อ หลิน-ชาล์ เรียกว่า หลิน-ชาล์ 2563

ต่อมา อยากให้ทุกท่านได้ดูในเส้นสีน้ำเงิน มันจะต้องเริ่มต้นที่ซ้ายมือสุดด้านบน (2557) กรณีนายฐาปนันท์ ก็คือพ่อค้ายาเสพติดรายหนึ่ง ฐาปนันท์ เป็นพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ และถูกออกหมายจับเอาไว้ทั้งหมด 56 หมาย ในช่วงระหว่างดำเนินคดี ช่วงปี 2557 ปรากฏว่าฐาปนันท์ หลบหนีประกันชั้นอุทธรณ์คดี แล้วก็มีการข่าวเบื้องต้นว่าหลบหนีไปอยู่ที่พม่า เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องเกี่ยวกับฐาปนันท์ ก็จะจบลงตรงที่ปี 2557 เพราะฉะนั้นแล้ว การสืบสวนทั้งหมดก็เป็นของกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 1

ลำดับต่อมา สีน้ำเงินลำดับถัดมา ที่อยากจะให้เห็น มันเป็นช่วงวันที่ 18 ตุลาคม 2562 เป็นกรณีการจับกุมคนขับรถ กับคนที่นั่งมาด้วย พร้อมรถพ่วง แล้วในรถพ่วงนั้นก็ปรากฏว่ามียาไอซ์จำนวน 1,500 กิโลกรัม อยู่ ในวันที่จับกุมก็ได้แค่ผู้ต้องหา 2 คนเท่านั้น ผู้ต้องหา 2 คน ก็มีการให้การซัดทอดไปจนกระทั่งทีมสืบสวนและทีมสอบสวนสามารถสืบสวนขยายผล จนกระทั่งออกหมายจับได้เพิ่มเติมอีก 8 คน และมีการจับกุมเพิ่ม

ที่เห็นเป็นตัวสีดำ ก็คือคนที่ถูกจับกุมตัวได้ ส่วนตัวสีแดงข้างล่าง คือคนที่ถูกออกหมายจับไว้ ก็คือ นายเกิดชนะ และนายยง วงศ์ศสว่างกุล คดีนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ตามกระบวนการพิจารณาของศาลไป

ต่อมา สีน้ำเงินลำดับถัดมา เป็นกรณีวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ก็สืบเนื่องจากรถคันนี้มันมีการประกอบ มีการสร้างขึ้นมาเพื่อการขนถ่าย ขนยาเสพติดโดยเฉพาะ จึงมีการร่วมกับ บช.ปส. และ ป.ป.ส. รวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งสามารถออกหมายจับ และจับกุม และยึดทรัพย์ เจ้าของอู่ที่ต่อรถคันนี้ ได้ ก็เป็นลำดับถัดมาที่เราขยายผล ก็เป็นในช่วงวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ก็จับได้ 2 คน ที่เป็นเจ้าของและผู้จัดการอู่ ก็ยึดทรัพย์มา

ลำดับต่อมา เวลาก็เคลื่อนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ 23 ตุลาคม 2563 มันมีการควบคุมตัวนายเกิดชนะ ได้ โดยทางการเมียนมาได้ประสานงานมาว่าเข้ามาที่ประเทศไทย ก็มีการไปควบคุมตัว ก็อยู่ในระหว่างกักตัวประมาณ 10 วัน ในช่วง 10 วัน ก็มีทีมที่สืบสวนเข้าไปซักถามพูดคุย ก็ได้ข้อมูลกลับมาบางส่วน จนกระทั่งครบการกักตัว ก็จะต้องมีการจับกุมตามหมายจับซึ่งออกเอาไว้ในคดีที่เห็นด้านบน ก็คือของพะวอ 180/2562 ก็มีการดำเนินคดีกับนายเกิดชนะ ซึ่งนายเกิดชนะ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ และคดีส่งฟ้องไปแล้ว ทีมสืบสวนสอบสวนก็ทำได้แค่สอบปากคำ รวบรวมพยานหลักฐาน และนำตัวส่งให้อัยการ

ทีนี้ มันมีสิ่งที่เป็นรอยต่อของ 2 ช่วงนี้ คือ ช่วงที่ 3 กับ ช่วงที่ 4 เพราะว่าในคำพูดของเกิดชนะ ที่ได้ให้ไว้ตรงช่วงที่อยู่ที่เมืองกาญจน์ อาจจะมีการพาดพิงถึงพลเรือน 4 คน และข้าราชการ 4 คน ทีมสืบสวนสอบสวนก็ได้นำข้อมูลทั้งหมดประกอบไว้ในสำนวนการสอบสวนด้วย แล้วในขณะเดียวกันก็เอามาใช้ประกอบในการสืบสวนสอบสวนด้วย พบข้อเท็จจริงบางอย่าง ซึ่งในที่นี้ไม่ได้เปิดเผย พบข้อเท็จจริงบางอย่างที่บ่งชี้ได้ว่า จากการที่เขาพาดพิง มันสามารถมีหลักฐานดำเนินคดีได้ทั้งหลิน-ชาล์ และนายฐาปนันท์ ซึ่งก็คือคนที่เป็นตัวการใหญ่ตั้งแต่ปี 57 ไว้ ก็เลยมีการตั้งคดีใหม่ เป็นคดีของ สภ.แม่สอด คดี 1810/2563 แล้วก็ออกหมายจับ ก็สามารถจับกุมตัวหลิน-ชาล์ ได้ ก็ตรงกัน ก็คือเราก็ไปเจอเงินสดและบัญชี อายัดได้ทั้งหมดประมาณ 200 กว่าล้านบาท ตอนนี้ทำมาถึงขั้นตอนนี้

ในส่วนอื่นๆ ถ้าหากมีหลักฐาน มีอะไรเพิ่มเติม เราก็จะดำเนินการตามพยานหลักฐาน ในส่วนของตำรวจภูธรภาค 6 ลำดับขั้นตอนทั้งหมด ก็ไล่รายละเอียดมาได้ตามนี้ ผมขออนุญาตลงรายละเอียดอีกนิดหนึ่ง

ในกรณีของนายฐาปนันท์ ถ้าเราจะโฟกัสให้เห็นนิดหนึ่งก็จะพบว่านายฐาปนันท์ ชื่อเดิม คือ อธิษฐาน แซ่ตั้ง หรือฉายาที่เรียกกัน ก็คือ เฮีย หรือตี๋ หรือหนู หรือเฉิน ความสำคัญของฐาปนันท์ ก็คือ มีหมายจับคดีฟอกเงินทิ้งไว้ตั้งแต่ช่วงปี 2557 ถึง 56 หมาย และมีความเชื่อในการข่าวก็คือ อยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

คดียาไอซ์ 1.5 ตัน ปี 2562 อันนี้เกิดขึ้นที่ด่านห้วยยะอุ ตรวจค้นได้วันที่ 18 ตุลาคม 2562 อันนี้ก็เป็นคดีที่ สภ.พะวอ ตั้งเลขคดีไว้ 180/2562 คดีนี้จับกุมตัวเริ่มต้น ได้นายสมโชค กับคนที่นั่งมาด้วย แล้วขยายผลออกหมายจับได้อีก 8 คน ใน 8 คนนั้น จับกุมได้ 6 และหลบหนีไป 2

คดีนี้ ผลคดีออกมาแล้ว ศาลตัดสินตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2563 มีทั้งคดีจำคุกตลอดชีวิต มีทั้งติดคุก 33 ปี และสุดท้ายก็มียกฟ้องไป 3 คน

กรณีอู่ 888 เป็นกรณีออกหมายจับเจ้าของอู่ ซึ่งขยายจากคดี 1.5 ตัน สามารถออกหมายจับได้ผู้ต้องหา 2 คน และจับกุมตัวได้ และมีการยึดทรัพย์

คดีนี้พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนสั่งฟ้อง ส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการที่แม่สอด คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

ลำดับต่อไป เป็นกรณีการได้ตัวนายเกิดชนะ นายเกิดชนะ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดี 1.5 ตัน เพราะฉะนั้นแล้ว กรณีของนายเกิดชนะ ก็เป็นกรณีการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ตอนนี้สำนวนและตัวของนายเกิดชนะ ถูกส่งให้อัยการแม่สอด ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2564 ก็มีความเห็นสั่งฟ้องไป

การขยายผลจากคำให้การของนายเกิดชนะ มีหลักฐานบ่งชี้ไปถึงกรณีผู้หญิงที่ชื่อหลิน-ชาล์ และเชื่อมโยงไปถึงนายฐาปนันท์ ด้วย ก็ไปเปิดเป็นคดีใหม่ เป็นคดี 1810/2563 ก็มีการจับกุม น.ส.หลิน-ชาล์ ได้วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563

น.ส.หลิน-ชาล์ เรายึดเงินสดเป็นเงินดอลลาร์ได้ 3.2 ล้านดอลลาร์ รวมเป็นเงิน 100 กว่าล้านบาท และยังมีเงินในธนาคารและบริษัทของเขาอีก ก็เป็นแหล่งในการฟอกเงินจริงๆ คดีนี้ส่งให้กับทางอัยการแม่สอดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามที่พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นไป

ในส่วนของตำรวจภูธรภาค 6 มีรายละเอียดของคดีเพียงเท่านี้

โฆษก 

นั่นก็เป็นภาพรวมทางคดีทั้งหมดที่ตำรวจภูธรภาค 6 เล่าให้พวกเราฟัง ต่อมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศปส. ขยายผลเรื่องนี้เพิ่มเติม เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ท่านรองฯ มนู จะเล่าให้ท่านสื่อมวลชนฟัง

พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก
พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก

เรียนท่าน ผบ.ตร. และพี่น้องสื่อมวลชน หลังจากที่ผมได้รับมอบหมายจากท่าน ผบ. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมก็ร่วมกับผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด และทีมงาน ดูภาพรวมทั้งหมดตั้งแต่เริ่มดำเนินคดี ตั้งแต่จับกุมตั้งแต่ปลายปี 62 ไล่มาจนกระทั่งจนถึงปัจจุบัน เพราะว่าการดำเนินการของภาค 6 ได้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ ส่วนที่นายเกิดชนะ ให้การซัดทอด ถ้ามีพยานเชื่อมโยงหรือสืบสวนไปถึงใคร เราก็ดำเนินการตาม พ.ร.บ.สมคบ ตามที่ทางภาค 6 ได้ชี้แจงไปแล้ว ส่วนที่เหลือเรายังไม่พบข้อมูลการเชื่อมโยงหรือที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นแต่อย่างใด ในภาพรวมที่ผมดำเนินการ มีเพียงเท่านี้ครับ

พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

เรียนท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผมได้รับคำสั่งจากท่าน พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก ในการสืบค้นความเชื่อมโยงของผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี ทั้งข้าราชการ ทั้งประชาชนที่ระบุอยู่ในสำนวนการสอบสวน ก็พบบางส่วนที่เกี่ยวข้อง บางส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็ได้รายงานให้กับท่านรองฯ มนู ทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส.

กราบเรียนพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ในกรณีการสืบสวนในเครือข่ายของนายฐาปนันท์ ธรรมรัตน์ธาดา เรียนว่าทางสำนักงาน ป.ป.ส. เราได้มีการร่วมดำเนินการตั้งแต่ในชั้นต้น และมีการสืบสวนขยายผลร่วมกัน รายละเอียดก็มีการบันทึกไว้เป็นเอกสาร

ประเด็นของเครือข่ายนายฐาปนันท์ ต้องเรียนให้ทราบอย่างนี้ว่า โดยพฤติการณ์ ก็ขอเพิ่มเติมจากตำรวจภูธรภาค 6 นิดหนึ่งก็คือ เป็นเป้าหมายการสืบสวนของทาง ป.ป.ส. มาตั้งแต่ชั้นเริ่มต้น ก็คือเขาเริ่มมีพฤติการณ์ตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งคดีแรกของนายฐาปนันท์ ที่มีการถูกดำเนินการก็คือครอบครองยาบ้า ปริมาณจำนวน 26,000 เม็ด พร้อมกับอาวุธปืน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถ้าจำไม่ผิดเป็น สภ.สำโรงเหนือ แต่ว่านำส่ง สน.พระโขนง ในคดีที่ถูกจับกุมในปี 52 นั้น เขาสู้คดีเรื่องยาเสพติด หลุด แต่ถูกดำเนินคดีจำคุก 1 ปี ในข้อหาครอบครองอาวุธปืน หลังจากนั้นเมื่อเขาติดคุกอยู่ 1 ปี เขาก็ไปสร้างเครือข่าย ไปรู้จักนักค้ารายสำคัญหลายคนในเรือนจำ หลังจากออกมาปี 53 ก็โลดแล่นอยู่ในวงการ ก็เป็นข้อมูลตามที่ท่านรองผู้บังคับการภูธรภาค 6 ได้นำเสนอต่อพี่น้องสื่อมวลชน

พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส.
ต้องเรียนว่าในเรื่องนี้ทางสำนักงาน ป.ป.ส. ไม่ได้นิ่งนอนใจ เราได้มีการขยายผลจากเคสที่ภูธรภาค 6 ได้มีการนำเสนอเมื่อสักครู่แล้ว ว่าได้ร่วมการปฏิบัติการกับหน่วยร่วมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสำนักงาน ป.ป.ส. ด้วย แต่ว่าสำนักงาน ป.ป.ส. โดยท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นับแต่ที่ท่านสมศักดิ์ ท่านขึ้นสู่ตำแหน่ง ได้ให้นโยบายสำคัญต่อสำนักงาน ป.ป.ส. ในเรื่องของการยึดทรัพย์และขยายผลให้ถึงตัวการ ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง และตัดวงจรทางการเงิน เพื่อตัดโอกาสเครือข่ายไม่ให้ทำการค้ายาเสพติด

ป.ป.ส. ได้ดำเนินการต่อเนื่องในเครือข่ายของนายฐาปนันท์ จนมีการสืบสวนล่าสุดเมื่อมกราคม ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการจับเครือข่ายที่สำคัญที่ภาคใต้เพิ่มเติมอีก 1 เครือข่าย ก็คือเครือข่ายของนายอนันต์ แซ่โค้ว ได้ผู้ต้องหาพร้อมตัวนายอนันต์ เพิ่มเติมอีก 2 คน รวมเป็น 3 คน ยึดทรัพย์ได้วงเงินประมาณเกือบ 3 ล้านบาท เคสนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการขยายผลเพิ่มเติม และยังมีอีกหลายเครือข่ายที่เครือข่ายนายฐาปนันท์ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

สำนักงาน ป.ป.ส. ต้องเรียนว่า เราคงไม่ยอมที่จะละเว้นใครคนใดคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเรียนว่า ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล พยานหลักฐานที่เราสามารถฟ้องเอาผิดได้ หากพี่น้องประชาชนท่านใด หรือข่าวที่ออกไปจากวันนี้ ท่านได้ทราบพฤติการณ์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่ทางตำรวจภูธรภาค 6 ได้กล่าวเมื่อสักครู่ ทางสำนักงาน ป.ป.ส. ก็ดี ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ดี พร้อมที่จะดำเนินการทุกกรณี

++++++++++++++++++++

ถาม-ตอบ

ถาม - ???

ภาค 6 - คนที่หนึ่งที่มีการพูดถึง เป็นพลเรือน ชื่อ นายยง วงศ์สว่างกุล ซึ่งนายยง วงศ์สว่างกุล ก็คือผู้ต้องหาตามหมายจับที่ออกไว้ในคดี 1.5 ตัน นี่ก็เกี่ยวข้อง ก็หลบหนีไป เราก็ยังติดตามไม่ได้ คนที่สองที่เกี่ยวข้อง ก็คือ เป็นข้าราชการ ในกรณีของ พ.อ.ยศพล เป็นกรณีที่เราตรวจสอบมาแล้วพบว่าถูกออกหมายจับในคดีสมคบ อยู่ที่นิคมเขาบ่อแก้ว จ.นครสวรรค์ หลังจากที่เป็นข่าวก็มีการไล่ล่าตัว จนกระทั่งจับกุมได้หลังจากที่สอบปากคำนายเกิดชนะ ก็เป็นผลการปฏิบัติ มีหมายจับ ก็จับกุมตัวได้ นายยศพล ลำดับต่อมาก็คือผู้หญิงที่ชื่อเฟื่องฟ้า ในคำให้การ คนที่ชื่อเฟื่องฟ้า ก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในหมู่บ้าน แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานสิ่งบ่งชี้ที่้เพียงพอที่จะสามารถนำไปออกหมายจับได้ เพราะฉะนั้นตรงเฟื่องฟ้า ก็แช่เอาไว้ เราก็รู้แต่ว่าเฟื่องฟ้า ก็คือคนที่ถูกกล่าวอ้างถึง แต่ยังไม่มีหลักฐาน

ลำดับต่อมา คือตำรวจอีกคนหนึ่ง เป็นตำรวจหญิงที่ชื่อ ทักษินันท์ ผมพูดรวมไปเลยว่าเป็นตำรวจทั้ง 3 คน ก็แล้วกัน ตำรวจทั้ง 3 ท่านที่กล่าวถึงนี้ ถามว่าในฐานข้อมูล มีการทำเยอะ และเยอะมากจริงๆ ในส่วนรายละเอียดไม่สามารถบอกได้ว่าเราทำอะไรไปอย่างไรบ้าง แต่ในชั้นนี้ก็แจ้งให้ทราบว่า ยังไม่มีหลักฐานที่ผมจะสามารถนำไปสู่การขออนุมัติในคดีสมคบต่อเลขาฯ ป.ป.ส. ได้ เพราะฉะนั้นแล้วสามอันนี้ก็เป็นข้อมูลในเชิงการสืบสวนได้เท่านั้นเอง

ถาม - ???

ภาค 6 - ข้อเท็จจริงในคดีมันมีแค่คำกล่าวอ้างแบบอย่างนั้น ในส่วนที่ผมดำเนินคดีได้ ในกรณีของหลิน-ชาล์ กับนายฐาปนันท์ ผมไม่ได้ออกหมายจับในคดี 1.5 ตัน แต่ผมเอาหลักฐานจากสิ่งที่มีแล้วเอามาเปิดเป็นคดีใหม่ ยาเสพติดคนละลอตนะครับ ไม่ใชลอต 1.5 ตัน เป็นยาเสพติดอีกลอตหนึ่งเลย เพราะฉะนั้นแล้ว รายละเอียดของคดีตอนนี้มันอยู่ในชั้นอัยการ เราเพิ่งส่งอัยการไป แต่ชี้แจงได้เท่านี้ว่า กรณีหลิน-ชาล์ กับฐาปนันท์ ที่ขยายมาจากคำให้การของเกิดชนะ เป็นคดียาเสพติดที่ไม่ใช่ 1.5 ตัน แต่เป็นคดียาเสพติดที่มีหลักฐานอื่นบ่งชี้ได้เลยว่าเกี่ยวข้องกัน เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถขอทางเลขาฯ ป.ป.ส. ออกหมายจับได้

ถาม - ???

ภาค 6 - ก็ยังไม่มีหลักฐาน ผมก็ว่าไม่มีความจำเป็นต้องเรียกเข้ามาให้การ

ถาม - ???

ผบ.ตร. - บอกด้วยเรื่องบัญชีของหลิน-ชาล์ ตัวเลขคร่าวๆ ที่สำรวจมาเมื่อปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน

ภาค 6 - กรณีของหลิน-ชาล์ อยากจะให้ทำความเข้าใจ หลิน-ชาล์ ผมก็ทำเยอะเกี่ยวกับเรื่องเอกสารของเขาทั้งหมด เราพบว่าหลิน-ชาล์ มีสิ่งบ่งชี้ว่าทำธุรกิจจริงๆ เฉพาะปี 63 แค่ 500 ล้าน แต่จริงๆ แล้วหลิน-ชาล์ มีเงินวิ่งออกไปที่พม่า 2,000 กว่าล้าน เพราะฉะนั้นตัวเลขที่เขย่งกันอยู่อีกพันกว่าล้าน มันคืออะไร เพราะฉะนั้นแล้ว ตัวหลิน-ชาล์ เขาก็ต้องให้การ ให้ข้อมูล

ผบ.ตร. - แล้วบัญชีมีโยงไปเจ้าหน้าที่คนไหนบ้าง ? แล้วมีการดำเนินการอย่างไร ? อธิบายเอาเท่าที่พูดได้

ภาค 6 - ไม่มีครับ ในส่วนของบัญชีหลิน-ชาล์ ได้ขยายแล้วทั้งหมด ทั้งบัญชีของหลิน-ชาล์ บัญชีของบริษัท ซีเปีย บัญชีของบริษัท ซันเดย์ ซึ่งหลิน-ชาล์ ดำเนินการอยู่ หาทั้งหมดตลอดทั้งปี 2563 และ 2562 ไม่เข้าไปแตะกับบุคคลที่กล่าวอ้างถึงแต่อย่างใดเลย

ถาม - ???

ภาค 6 - ที่บอกว่าไปพบกันที่เมียวดี คอมเพล็กซ์ เป็นคำพูดของคนที่เราได้ข้อมูลกลับมา เราก็ต้องหาหลักฐาน เหตุที่เกิดขึ้นน่าจะช่วงประมาณปลายปี 62 เราก็พยายามจะหา แต่มันได้มีหลักฐานบ่งชี้เท่านี้จริงๆ // เป็นคำซัดทอด เป็นคำชี้แจงจากผู้ต้องหาว่าไปอยู่ที่นั่น ไปเจอ ไปตกลง ไปพูดคุย แต่ตรงผมต้องหาหลักฐาน เพราะฉะนั้นถ้าผมต้องหาหลักฐาน ผมก็จะต้องเอาหลักฐานตอนช่วงปี 62 ซึ่งผมก็พยายามหา แต่มันไม่พบจริงๆ

ถาม - ประเด็นของนายตำรวจที่ถูกกล่าวหา ???

ภาค 6 - ในส่วนของสืบสวนไม่จบอยู่แล้ว ผมก็ยังคงต้องทำต่อ


ผบ.ตร. - เรียนเพิ่มเติมอย่างนี้ครับ เอกสารที่หลุดไป คือชิ้นเดียว ผมว่าท่านก็มีในมืออยู่แล้ว ที่กล่าวถึง พลตำรวจโท เขาเขียนว่าอย่างไร เขาถามว่ารูปที่พนักงานสอบสวนให้ดู ท่านเคยเห็นไหม เขาก็บอกว่า เคยเห็นมาที่เมียวดีฯ แต่ไม่ได้พูดต่อว่ามาทำอะไร เห็นมาทำอะไร มาหาใคร เจอใคร อะไร อย่างไร ไม่มีเลยนะ มีแค่นี้ สมมุติว่าเราเป็นตำรวจ เราจับใครมาคนหนึ่ง แล้วคนนี้บอก คนนี้จับผมเพราะว่ามาไถตังค์ผม แล้วผมไม่ให้ เราจะจับตำรวจมาสอบไหม ก็ต้องดูอย่างนี้ด้วย เพราะฉะนั้นการที่จะฟังอะไร ต้องชั่งน้ำหนัก ก็ต้องไปเช็กว่าวันเวลาที่พูดนั้น เมื่อไร ก็ไม่ได้มีระบุ เจ้าหน้าที่เขาก็ต้องทำไปตามข้อเท็จจริงที่พูดถึง ถามว่าเขาทำอย่างที่ท่านรองผู้การพูด ทางตำรวจภูธรภาค 6 ก็ไม่จบแค่นี้ ของศูนย์ปราบปรามยาเสพติดก็ทำ กองบัญชาการยาเสพติดก็ทำ ทีมงานท่านรองฯ สุชาติ ก็ทำ ก็ทำทั้งหมด อย่างท่านรองฯ สุชาติ มีอะไรท่านก็มาเล่าให้ผมฟัง และท่านก็ทำมาตลอด ถ้ามันจะเจออะไร มันก็ต้องเจอ อะไรที่ควรทำ ก็ทำไปแล้ว แต่ถามว่ายุติแค่นี้ไหม ก็ไม่ใช่ เพราะว่ายังมีงานที่ยังไม่เสร็จ การสืบสวนเส้นทางการเงิน อย่างที่เห็น เอาอย่างนี้ดีกว่า บางท่าน การสืบสวนอาจจะมีถึง สงสัยคนไหน บางทีเขาก็เอามาดู เอามาดูเลย แต่ว่ามันไปถึงไหนล่ะ ถ้าเจอ มันเจอแล้ว ณ วันนี้นะ แต่เพื่อให้สังคมสบายใจ เราไม่ได้หยุด ถ้ามันมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม เราดำเนินคดีได้ เราก็ทำ ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น

ที่ท่านรองผู้การพูด 2,000 กว่าล้าน เราก็ต้องมาไล่ดู มันไปถึงใครอีก เบื้องต้นมันยังไม่เจอ ยังไม่ชนกับใคร โดยเฉพาะคนที่ถูกพาดพิง คือถ้ามันมีพยานหลักฐาน ขนาดเอกสารอย่างนั้นยังรั่วมาได้เลย แล้วถ้ามันมี มันจะไม่รั่วเหรอ ถ้ามันมี มันก็ต้องออกสื่อแล้ว ผมถาม logic ง่ายๆ อย่างนี้ ถ้ามันมี มันก็ออกสื่อแล้ว มันจะไปอยู่ตรงไหนล่ะ ปัญหาคือ มันมีหรือเปล่า ทำอะไรก็ต้องชั่งน้ำหนัก เราไม่ได้คิดว่า จะมา คนนี้พิเศษกว่าคนอื่น มันไม่ใช่อย่างนั้้น แต่อะไรที่มันเบลอ อะไรที่ไม่ชัดเจน มันก็ถูกหยิบไปใช้เป็นประโยชน์ ถูกหยิบไปบ่อนทำลายความเชื่อถือ สิ่งที่อันตรายก็คือเรื่องนี้ เรื่องการบ่อนทำลาย ทำลายองค์กรไม่ได้ ทำลายคนก็ได้ ซึ่งผมก็เรียนว่า จะผิด จะถูก ไม่มีใครช่วยใครได้หรอกครับ ถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีใครมาปิดอะไรได้ ปิดเรื่องแบบนี้ไม่มีทางหรอก ท่านรู้ดี ท่านเป็นสื่อ ถ้ามันมีข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพัน ท่านได้ก่อนพวกผมอีก เพราะบางเรื่องผมยังรู้หลังท่านเลย เราตั้งใจ เราก็จะทำให้ ถ้าใครมีข้อมูลที่ดีๆ ข้อมูลที่จะไปถึงคนนู้นคนนี้ ยินดีรับหมด ผมก็อยากให้ฟังเรื่องนี้ให้ใช้วิจารณญาณ ทุกเรื่องนะครับ ไม่จำเป็นต้องเรื่องนี้หรอก ทุกเรื่อง เพราะโลกสมัยนี้การสื่อสารมันไปเร็ว ข้อเท็จจริงบางส่วนหลุดออกมา แต่มันไม่ได้หลุดทั้งหมด ก็กลับไปที่พูดตั้งแต่แรกว่า เปรียบเทียบเอกสารที่หลุดออกมาไม่กี่แผ่น กับที่เขามีเป็นร้อยเป็นพัน ท่านเห็นหมดหรือเปล่า มันไม่ใช่หน่วยงานเดียวด้วยนะ จะดำเนินคดีข้อหาสมคบ ตำรวจต้องขออนุมัติเลขาฯ ป.ป.ส. ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เราทำเองได้ ยังมีชั้นอัยการอีก มีศาลอีก แล้วก็มีสื่อ ท่านเป็นคนตรวจสอบพวกเรา มันไม่มีใครช่วยใครได้หรอกครับ ยืนยัน ถ้าใครที่เกี่ยว เราก็ไม่เคยละเว้น เขาสืบสวนมาตั้้งแต่ปี ... อย่างท่านรองเลขาฯ ท่านก็บอกว่าทำมา กระบวนการนี้ตั้งแต่ 52 ตำรวจภูธรภาค 6 ก็มาเริ่มทำหลังจากที่เจ้านี่หลบหนีไป แล้วก็มาสตาร์ทที่เรื่องของจับกุมที่ด่าน ปี 62 ก็ไล่มา ทุกคนเขาก็ทำหน้าที่ การสืบสวนทำหลายหน่วยมาก ผมย้ำว่า ทำหลายหน่วย แล้วการสอบสวนก็เป็นคณะทำงาน ก็ต้องดูด้วยว่าเราจะทำอะไรเราก็ว่าตามน้ำหนักพยานหลักฐาน การฟังคนๆ เดียวพูด แล้วพูดครั้งเดียว พูดบอก เคยเห็นคนนี้ แล้วยังไง ?? เห็นเขาไปทำอะไร ไปรับเงินใคร ไปคุยกับใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร

ตัวเองไปร่วมกระทำผิด ขนยา 3 ครั้ง จำได้หมด จำวันเวลา สถานที่ได้ แต่เรื่องนี้ทำไมจำไม่ได้ มันก็ต้องดูด้วย ก็เป็นสิทธิของเขาที่เขาจะให้การ ก็เป็นสิทธิของเขา เราก็พยายามย้ำให้เกิดความชัดเจน เพราะว่าถ้ายิ่งเบลอ ข้อมูลยิ่งไม่ชัดเจน ยิ่งเบลอ คนที่เสียหายคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขาจะถูกหยิบไปเป็นประเด็นบ่อนทำลาย ผมพูดย้ำนะ เรื่องนี้ บ่อนทำลายความเชื่อถือ ความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ถามว่าตำรวจภูธรภาค 6 เขาจะทำไปเพื่ออะไร เขาจับมาตั้งแต่ปี 62 แล้วจะไปทำอย่างนี้เพื่ออะไร

ก็ฝากพี่น้องประชาชนนะครับ ถ้ามีอะไรที่เป็นประโยชน์ ไม่มั่นใจตำรวจ กลัวตำรวจช่วยกัน แจ้ง ป.ป.ป. ก็ได้ แจ้ง ปปง. ก็ได้ แจ้งอัยการก็ได้ ท่านเอามาออกสื่ออีกก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ผมว่ามันมีช่องทางเยอะนะที่จะทำความจริงให้ปรากฏ แต่ก็ขอว่า เราก็ตั้งใจนะ ถ้ามีอะไร เรายินดีรับหมด

ถาม - ???

ผบ.ตร. - ก็นี่ล่ะครับ ที่เขาอธิบายให้ท่านฟัง อะไรที่ยังทำไม่ครบ เดี๋ยวท่านรองฯ มนู ก็ต้องทำให้ครบ

พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก
รองฯ มนู - ขออนุญาตเสริม จริงๆ แล้วคดีนี้เริ่มต้นจากผู้ต้องหา 2 คน พร้อมของกลาง 1,500 กิโลกรัม ขยายผลมาลอตแรกได้ 10 คน จับกุมดำเนินคดีไป แล้วหลังจากนั้นมา 888 ก็เจออีก แล้วก็กลุ่มที่ 3 ที่เกิดชนะ ให้การซัดทอด ถ้าพยานหลักฐานถึงใคร เราก็ดำเนินการอีก พ.ร.บ.สมคบ แล้วขณะนี้เราก็จะไปเอากลุ่มที่ 4 กำลังจะดำเนินการต่ออีก เพราะฉะนั้นดูแล้วว่าภาค 6 มีความตั้งใจ ดูแล้ว ที่ผ่านมา ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะจบตั้งแต่สองคนแรกก็ได้ แล้วมีขยายผลมา คือเกี่ยวข้องกับใคร ดำเนินการหมด แล้วอนาคตก็จะทำต่อ จริงๆ ต้องขอบคุณภาค 6 ด้วย ร่วมกับ ป.ป.ส. ภาค 6 ร่วมกันขยายผลจนถึงขณะนี้ ถือว่าได้ผลมาก
ถาม - จนถึงตอนนี้พูดได้เต็มปากไหมว่าสองนายตำรวจไม่เกี่ยวข้อง

รองฯ มนู - เบื้องต้นที่ ผบ.มอบหมายให้ผมไปตรวจสอบ ทั้งเชิญผู้บัญชาการภาค 6 และผู้ที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจง ผมให้ ป.ป.ส. ตรวจสอบข้อมูลทางลับอีกทางหนึ่ง ถึงขณะนี้่ยังไม่มีข้อมูลที่เชื่อมโยงถึง

ถาม - ???

ผบ.ตร. - นั่นก็เป็นสิ่งที่ ถามผม ผมก็คิดเหมือนกัน ก็ต้องไปดูว่าบรรยากาศในการพูดคุยวันนั้นมันเป็นอย่างไร อย่างรองต๊ะ พูดตรงๆ เลย เขาก็พูดว่า เขารู้จัก เพราะคนทำบ่อนตรงนั้น พูดแบบชาวบ้านเลยนะ มันก็คงต้องรู้จักกัน แต่รู้จักกันแบบไหน เห็นให้เงินให้ทองกันอย่างไร เขาก็มีเอ่ยถึงบุคคลที่สามอีกคนหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ ว่า คนนี้เป็นคนเดินเคลียร์เรื่องตำรวจ ทางภาค 6 เขาก็ดำเนินการไปแล้วในเรื่องพวกนี้ แต่ว่าก็ต้องดูว่าวันนั้นอารมณ์มันไปอย่างไรมาอย่างไร มันถึงมาถึงตรงนี้ได้ แต่ว่าเอาเถอะ เมื่อพาดพิงถึง เราก็ต้องเช็ก จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่เราก็ต้องตรวจสอบ เราไม่ใช่ไม่ทำ เมื่อเขาพูดมาขนาดนี้ก็ต้องดู อยู่ดีๆ ไปเห็นว่าเขามาที่นี่ เพราะคนก็เป็นร้อยเป็นพัน ก็เข้าใจเหมือนกันว่ามันมากันได้อย่างไร แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมาแล้วเราก็มีหน้าที่ต้องตรวจสอบ

ถาม - ???

ผบ.ตร. - ท่านต้องตัดสินเอง แต่ผมมองผลกระทบว่าที่เกิดความเสียหายมันเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจ ผมย้ำอีกทีนะ อะไรที่มันเบลอ มันไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าผิดหรือว่าถูก มันจะเสียหาย เพราะฉะนั้นหน้าที่เราก็ต้องให้มันชัดเจน เพราะว่าจะถูกหยิบไปใช้ประโยชน์ได้ตลอดเวลา เอาเรื่องนี้พูดได้อีกห้าร้อยปี เพราะมันไม่ชัดเจน พูดอย่างไรก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ชัดเจนให้ได้ อะไรที่ยังทำไม่เสร็จ ต้องไปทำ ประเด็นไหนที่ยังมีข้อสงสัย ต้องเคลียร์ ก็ต้องเคลียร์ แต่ถึงวันนี้เห็นว่ามีความคืบหน้าพอสมควร ก็มาเล่าให้ฟัง ก็ยังไม่ได้จบ แล้วผมก็ย้ำอย่างที่ผมพูดเมื่อกี้นี้ ถ้ามีหลักฐานทีเด็ด ผมว่าท่านรู้ก่อนผมอีก แต่ว่าตอนนี้เราทำอยู่ มีทั้งชุดสืบสวนของท่านรองฯ สุชาติ มีทั้งศูนย์ปราบปรามยาเสพติด ท่านรองฯ มนู มีทั้งของกองบัญชาการยาเสพติด มีทั้งของตำรวจภูธรภาค 6 และย้ำอีกที ถ้าท่านไม่มั่นใจตำรวจ ท่านแจ้งไปที่ ป.ป.ส. ได้ แจ้งไปที่อัยการได้ แจ้งไปที่ ปปง. ก็ได้

ถาม - มีการมองกันว่ามีความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือเปล่า ? ผบ. มองมิตินี้อย่างไร ?

ผบ.ตร. - คือ ผมไม่ได้มองเป็นเรื่องของความขัดแย้งนะครับ ผมก็ยังมองว่า เราอยู่บนพื้นฐานที่เราทำงานด้วยกัน แต่ว่าใครจะหยิบไปใช้ประโยชน์แบบไหนนั้น เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง

ถาม - สามารถยืนยันได้ใช่ไหมว่าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีความขัดแย้งต่อเรื่องนี้

ผบ.ตร. - ผมไม่คิดว่ามีนะครับ เพราะถึงวันนี้ก็ยังคุยกันทุกคน ทุกคนที่ได้ร่วมมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ ก็ยังคุยกันอยู่ ก็คุยกันตลอดว่ามีอะไร ข้อมูลก็เอามาแลกเปลี่ยนกัน เพราะว่าเพื่อประโยชน์ เพื่อทำเรื่องนี้ให้มันเกิดความชัดเจน เพราะทุกคนก็ต้องการรู้ข้อเท็จจริง มีใครไม่อยากรู้บ้างเรื่องจริงเป็นอย่างไร ตำรวจก็เหมือนกัน ก็อยากรู้ เราก็พยายามทำให้มันชัดเจน

ถาม - มีประเด็นที่ว่า ท่านรองฯ สุชาติ ทำรายงานให้ท่านเป็นระยะๆ ให้ทราบ ..???..

ผบ.ตร. - เรื่องการสืบสวนก็เรียนแล้วว่า ท่านรองฯ สุชาติ ท่านเป็นเพื่อนผม ท่านมีอะไร ไม่ใช่เฉพาะงานนี้งานเดียว มีอะไรก็มานั่งคุยกัน เรื่องนี้ท่านก็มาเล่าให้ฟัง แล้วท่านก็บอกด้วยว่า ท่านได้สั่งการภาค 6 ไปว่าอย่างไร แล้วหลังจากนั้นท่านไปทำอะไรได้มาเพิ่ม ท่านก็จะมาเล่าให้ฟัง ซึ่งก็ทำตามนี้มาตลอด การสืบสวนก็ทำมาตลอด ในขณะที่ท่านทำอยู่ พนักงานสอบสวนเขาก็ทำของเขาด้วย แต่พอมีเอกสารหลุดไป ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ว่า เอ๊ะ ทำไมมันมีการสอบถามว่าประเด็นของเกิดชนะ ภาค 6 ได้ทำหรือเปล่า ซึ่งภาค 6 เขาก็ตอบมาแล้วว่าเขาทำอะไรไปบ้าง ซึ่งเมื่อกี้เขาก็ชี้แจงเท่าที่เขาชี้แจงได้ ต่อสื่อไปแล้ว

พอมาอย่างนี้ เราก็เห็นว่าศูนย์อำนวยการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นหน่วยหลักของ สตช. ก็อาจจะต้องลงมาเป็จกิจจะลักษณะ ซึ่งโดยปกติเขาทำกันมาอยู่แล้ว บช.ปส. ทำอยู่แล้ว ทำกันมาตลอดอยู่แล้ว ตั้งแต่ปี 57 ก็เห็นอยู่ ทีมงานทุกทีมเขาไม่เคยหยุดนะครับ ไม่ใช่ว่ามาหยุดรอกัน อันนู้นต้องรออันนี้ ไม่ใช่นะ ทำกันมาตลอด

ถาม - ???

ผบ.ตร. - มันก็ยากที่จะทำอย่างนั้นนะครับ แต่เราก็สั่งจเรไปตรวจสอบ โดยอำนาจหน้าที่ก็ทำไปแล้ว

ถาม - ???

ผบ.ตร. - คลื่นใต้น้ำคืออะไร ผมไม่ทราบ ไม่มีหรอกครับ คงไม่มีหรอกครับ เราตั้งใจทำงานกันทั้งนั้น ความเห็นที่ไม่ตรงกัน เรื่องธรรมดานะครับในการทำงานร่วมกัน แต่ว่าวัตถุประสงค์เหมือนกัน

ถาม - ???

ผบ.ตร. - คุยตลอดครับ ผมก็เห็นท่านสองคนคุยกันดี ไม่เห็นมีอะไร เจอกันก็เห็นเขาคุยกันดี


ถาม - ???
ผบ.ตร. - เมื่อวานรับแจ้งจากทางสำนักงานแพทย์ใหญ่ เอาตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจมา Quarantine ที่โรงพยาบาล 24 คน แล้วก็เป็น Home Quarantine 16 คน รวมทั้งผู้ป่วยอีกคนก็เป็น 41 คน

ถาม - ???

ผบ.ตร. - วันนั้นจริงๆ เขาไม่ได้อยู่แนวหน้า เขามีหน้าที่คุมรถผู้ต้องหา แต่ว่าในกองร้อย ในหมวดของเขาที่เขาสัมผัส ทางสำนักงานแพทย์ก็ได้ไปพูดคุย ซักถาม แล้วก็คัดแยกแล้ว ก็เลยสรุปได้ว่าเอามาไว้ที่โรงพยาบาลตำรวจ 24 คน ถ้ารวมคนป่วยด้วย ก็ 25 ส่วนที่เป็น Home Quarantine 16 อยู่ในการสอบสวนโรคต่อ ในชั้นต้นเป็นอย่างนี้ / แจ้งผู้บังคับบัญชาไปแล้วให้ไปซักถาม ไปหาเหตุหาผลว่าไปเพราะอะไร มีความสมควรไหม มีความผิดอะไรไหม ไปว่ากันตรงนั้น คืบหน้าอย่างไรจะให้นครบาลเป็นคนแถลงผลการตรวจสอบ

ถาม - ???

ผบ.ตร. - พรุ่งนี้ก็ติดตามสถานการณ์อยู่ ยังไม่นิ่ง เท่าที่เห็น ฟังจากข่าวคราวข่าวสาร ก็มีที่หน้าศาล มีที่หน้า ร.11 ซึ่งตรงนั้นก็เป็นเขตพระราชฐาน ก็ต้องทำความเข้าใจ และยังมีอาจจะเป็นศูนย์ราชการฯ ที่ศาลอาญา ของกลุ่ม REDEM

- ตอนนี้มันอยู่ในสถานการณ์ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้ใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ การดำเนินการแจ้งขอชุมนุมนั้นก็เป็นเรื่องกฎหมายชุมนุม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่

ถาม - ???

ผบ.ตร. - คือกลุ่มผู้ชุมนุม เราดูแล้วก็พยายามจะมีการยกระดับการใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น เราก็ยังยึดหลักของการได้สัดส่วนกัน เราไม่ทำอะไรเกินกว่าที่ควรจะทำ แต่เราก็ต้องเตรียมการให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าต้องดูเรื่องการที่เกิดความสูญเสีย บาดเจ็บ ต้องพยายามจำกัดให้น้อยที่สุดให้ได้

ถาม - ???

ผบ.ตร. - เรื่องแจ้งการชุมนุม เป็นเรื่อง พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เขาคงไม่ได้มาขออนุญาตเราหรอก เพราะเราอนุญาตไม่ได้ แล้วการที่เราดำเนินการจับกุมก็เหตุว่าเขาทำผิดซึ่งหน้า

ถาม - ???

ผบ.ตร. - นั่นไม่ใช่ม็อบชนม็อบนะ คือวันนั้นเราก็มีกำลังดูแลอยู่ อย่างน้อยก็ระงับความเสียหายได้มากพอสมควร เรื่องม็อบชนม็อบผมไม่คิดว่ามีนะ

ถาม - ???

ผบ.ตร. - ก็อยากให้ผู้ที่ชุมนุมต้องใช้สติคิดให้ดี คนบางคนมาชักชวนท่านให้เตรียมอุปกรณ์ เตรียมโล่ เตรียมดิ้ว เตรียมแป๊ปเหล็ก ท่านคิดให้ดีว่าทำอย่างนั้นมันไม่ได้อะไรกับประเทศชาติ ถ้าท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านทำเป็นประโยชน์กับชาติ กับประชาชนโดยส่วนรวม ท่านแน่ใจว่าทำอย่างนั้นแล้วมันเป็นประโยชน์

ถาม - ???

ผบ.ตร. - ทางนครบาลคุยอยู่ ประสานอยู่ตลอด // คือมันผิด พ.ร.ก.อยู่แล้ว ที่ท่านไปชุมนุมกันแบบนั้น เราก็ไม่อยากเห็นภาพความรุนแรงหรือการปะทะกันโดยไม่จำเป็น
กำลังโหลดความคิดเห็น