ว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ระบุวานนี้ (4 ธ.ค.) ว่าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของตนเองซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้าอาจถูกลดขนาดลงมาเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด-19
นับเป็นอีกครั้งที่ ไบเดน พยายามสร้างมาตรฐานที่แตกต่างจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงหลังถูกจี้เรื่องจำนวนคนเข้าร่วมพิธีสาบานตนเมื่อเดือน ม.ค. ปี 2017 ที่ดูโหรงเหรงเมื่อเทียบกับพิธีสาบานตนของ บารัค โอบามา
อดีตรองประธานาธิบดีสายเดโมแครตวัย 77 ปี ระบุว่า ตนจะทำพิธีสาบานตนบนแพลตฟอร์มที่กำลังสร้างขึ้นตรงบันไดหน้าอาคารรัฐสภา (US Capitol) แต่ไม่อยากจะให้มีประชาชนจำนวนมากมารวมตัวกันที่เนชันแนลมอลล์และถนนเพนซิลเวเนียอเวนิวเพื่อเป็นสักขีพยานและชมพิธีสวนสนามของกองทัพ
“ผมเดาว่าคงจะไม่มีพิธีสวนสนามที่ยิ่งใหญ่บนถนนเพนซิลเวเนียอเวนิว แต่คุณน่าจะได้เห็นการจัดกิจกรรมออนไลน์ (virtual) ในรัฐต่างๆ ทั่วอเมริกา” ไบเดน ให้สัมภาษณ์ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ซึ่งเป็นบ้านของเขา
กิจกรรมอย่างแรกๆ ของรัฐบาล ทรัมป์ ในปี 2017 ก็คือการที่ ฌอน สไปเซอร์ (โฆษกทำเนียบขาวในตอนนั้น) ออกมาโจมตีสื่อมวลชนที่ตีพิมพ์ภาพเปรียบเทียบพิธีสาบานตนของ ทรัมป์ ว่ามีผู้เข้าร่วมน้อยนิดเมื่อเทียบกับพิธีสาบานตนของ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ เมื่อ 8 ปีก่อนหน้านั้น
ไบเดน ระบุว่า เขาจะใช้ทีมงานชุดเดิมที่เคยจัดการประชุมใหญ่ออนไลน์ของพรรคเดโมแครตมาแล้วเมื่อเดือน ส.ค. เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโควิด-19 เนื่องจากเวลานี้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ได้กลับมาพุ่งสูงขึ้นทั่วสหรัฐฯ
“ประชาชนต้องการเฉลิมฉลอง ผู้คนอยากจะออกมาประกาศว่าเราได้ส่งไม้ต่อแล้ว เรากำลังเดินไปข้างหน้า ระบอบประชาธิปไตยของเรายังทำงานได้ดี” ไบเดน กล่าว
พิธีสาบานตนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักจะเริ่มจากการที่ประธานาธิบดีผู้ซึ่งกำลังจะหมดวาระลงและว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่นั่งรถจากทำเนียบขาวมายังอาคารรัฐสภาพร้อมกัน และเมื่อผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่เข้าพิธีสาบานตนเสร็จสิ้นแล้วก็จะนั่งรถผ่านถนนเพนซิลเวเนียอเวนิวกลับไปยังทำเนียบขาวเพื่อเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ส่วนอดีตประธานาธิบดีก็จะเดินทางกลับโดยเฮลิคอปเตอร์
ทรัมป์ ซึ่งปฏิเสธที่จะยอมรับผลเลือกตั้งยังไม่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมพิธีสาบานตนของ ไบเดน หรือไม่ ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดในทำเนียบขาวออกมาเผยว่า ทรัมป์ มีแผนที่จะใช้วันดังกล่าวประกาศเริ่มแคมเปญชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้งในปี 2024
ที่มา: รอยเตอร์