xs
xsm
sm
md
lg

สาวเอนฯ “1G1 ท่าขี้เหล็ก” ติดโควิด-19 ทำป่วน ผู้ว่าฯ เชียงรายชื่อ “ประจญ” คน“บิ๊กป๊อก” รับผิดชอบไหวไหม?

เผยแพร่:


พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ภาพซ้ายบน) | นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (ภาพซ้ายล่าง) | ขณะนี้การท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย รวมทั้งจังหวัดภาคเหนือได้รับผลกระทบจากการนี้เป็นอย่างมาก |  โรงแรม 1G1 ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ต้นเหตุการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งสำคัญ (ภาพขวา)
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ตั้งการ์ดสูงจนโควิด-19 ซา เตรียมตัวลัลล้าท่องเที่ยวช่วงส่งท้ายปีกันคึกคัก จู่ๆ สาวเหนือที่ไปทำงานสถานบันเทิงฝั่งพม่าที่ท่าขี้เหล็กกลับมาไทยผ่านช่องทางธรรมชาติโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อหนีการกักตัวติดเชื้อโควิด-19 ทำเอาปั่นป่วนไปทั่ว เพราะพวกเธอเดินทางไปหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเคสสาวพะเยา ที่เข้าเที่ยวงานสิงห์ปาร์ค ที่เชียงราย งานนี้ “ผู้ว่าฯ ประจญ” คนเชียงรายใต้สังกัด “บิ๊กป๊อก” ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ 

แม้ว่าสถานการณ์เวลานี้จะยังไม่ขั้นประกาศล็อกดาวน์ก็ตาม แต่ทำให้ภาครัฐต้องกลับมาทบทวนมาตรการคุมเข้มกันยกใหญ่ เพราะต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลเพิ่งประกาศคลายล็อกรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยพยุงภาคธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ให้ล้มหายตายจาก หากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดการ์ดตกมีหวังพังกันระนาว

แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลไม่ปกปิดข้อมูล เมื่อสังคมเกิดอาการวิตกจากกรณีกลุ่มสาวเหนือติดเชื้อจากฝั่งพม่ากลับมาเมืองไทย ทางกระทรวงสาธารณสุข ก็ตั้งโต๊ะแถลงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา ถึงไทม์ไลน์การเดินทางของพวกเธอเพื่อเฝ้าติดตามผู้สัมผัส และเป็นกลุ่มเสี่ยงอย่างใกล้ชิด โดย  นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ให้รายละเอียดความคืบหน้าของเคสทั้งหมด 6 กรณี

รายที่ 1 หญิงไทย อายุ 29 ปี เดินทางกลับจากเมียนมา พักรักษาตัวที่เชียงใหม่ มีผู้สัมผัสทั้งหมด 326 ราย และยังไม่พบผู้ติดเชื้อจากรายแรก, รายที่ 2 หญิงไทย อายุ 26 ปี เดินทางกลับจากเมียนมา พักรักษาตัวที่เชียงราย มีผู้สัมผัสทั้งหมด 6 ราย และเดินทางมาพร้อมกับรายที่ 3,

รายที่ 3 หญิงไทย อายุ 23 ปี เดินทางมาพร้อมรายที่ 2 และเมื่อรู้ว่าเพื่อนติดโควิด-19 จึงเดินทางมาตรวจเช่นเดียวกัน รายที่ 4 หญิงไทย อายุ 25 ปี ทำงานอยู่ในสถานบันเทิงเดียวกับ 3 รายก่อนหน้านี้ และเมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมงานติดโควิด-19 จึงเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผลปรากฏว่าติดโควิด-19 แต่ไม่มีอาการ

สำหรับรายที่ 5 ซึ่งเป็นเคสที่น่าวิตกที่สุด เพราะเดินทางไปหลายแหล่งนั้น เป็นหญิงไทย อายุ 28 ปี ชาวพะเยา ทำงานอยู่ในสถานบันเทิงท่าขี้เหล็กในประเทศเมียนมาเช่นเดียวกัน มีไทม์ไลน์การเดินทาง ดังนี้

วันที่ 27 พฤศจิกายน เดินทางกลับมาจากเมียนมาโดยเส้นทางธรรมชาติ จากนั้นวันรุ่งขึ้น 28 พฤศจิกายน เพื่อนขับรถมอเตอร์ไซค์มาส่งที่ปากซอยโลตัสแม่สาย เหมาแท็กซี่สีแดง-ขาว จำทะเบียนไม่ได้ มาส่งที่เมืองเชียงราย โดยสวมหน้ากากอนามัยทั้งคู่ ในเวลา 15.00 น. พักห้องเช่าของเพื่อนชั้น 2 ของตึกแถวหลังห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีเชียงราย อาศัยอยู่คนเดียว จากนั้น เมื่อเวลา 21.00 น. ออกไปซื้ออาหารเย็นที่ร้านค้าในตัวเมืองเพื่อมากินที่ห้อง

วันที่ 29 พฤศจิกายน ช่วงเช้าถึงบ่ายไม่ได้ออกจากห้องพัก ส่วนตอนเย็นแฟนขับรถยนต์ส่วนตัวจากจังหวัดพะเยามารับไปเที่ยวงานสิงห์ปาร์ค จังหวัดเชียงราย เวลา 20.00 น. จอดรถโซน C 26 นั่งรถสองแถวเข้างาน นั่งโต๊ะบริเวณลานเบียร์ ซึ่งซื้อเบียร์และอาหารไปรับประทาน ไม่ได้เข้าร่วมบริเวณหน้าเวที โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ยกเว้นตอนดื่มเบียร์ จากนั้น 23.00 น. กลับเข้าห้องเช่าของเพื่อน นั่งดื่มเบียร์ต่อ เวลา 04.00 น. ออกไปพักโรงแรม Hop Inn ในตัวเมืองจังหวัดเชียงราย

วันที่ 30 พฤศจิกายน เวลา 12.00 น. ออกจากโรงแรม Hop Inn หลังจากนั้นรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารบริเวณข้างทาง แวะร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ปั๊ม ปตท. อำเภอแม่สรวย หลังจากนั้นเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้เส้นทางเชียงราย-เวียงป่าเป้า-แม่ขะจาน เวลา 17.00 น. เข้ารับการตรวจเชื้อที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ และต่อมาเดินทางกลับจังหวัดพะเยา โดยรถยนต์ส่วนตัวกับแฟน แวะปั๊ม ปตท. แม่ขะจาน เพื่อเข้าห้องน้ำ เวลา 24.00 น. เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพะเยา

วันที่ 1 ธันวาคม รับแจ้งจากโรงพยาบาลเอกชน จังหวัดเชียงใหม่ ตรวจพบ SARS-CoV-2 หลังจากนั้นทีมสอบสวนโรค สสจ. พะเยา สอบสวนควบคุมโรค ผลตรวจที่โรงพยาบาลพะเยา ยืนยันตรวจพบเชื้อเช่นกัน

ส่วนรายที่ 6 หญิงไทย อายุ 21 ปี ในกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนเริ่มมีอาการป่วยด้วยไข้ เจ็บคอ มีน้ำมูก และตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีไทม์ไลน์การเดินทาง ในช่วงวันที่ 17-21 พฤศจิกายน ไปเที่ยวที่จีวันจี จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา พร้อมเพื่อนสนิทที่อาศัยอยู่จังหวัดพิจิตร

วันที่ 28 พฤศจิกายน เวลา 05.00 น. เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 06.00 น. มีรถจักรยานยนต์รับจ้างมารับไปส่งโรงแรมที่พักในอำเภอแม่สาย ต่อมาเริ่มมีอาการไข้ เจ็บคอ และมีน้ำมูก หลังจากนั้นเรียกรถ Grab ไปส่งที่สนามบินเชียงราย หลังจากนั้นเวลา 13.40 น. ขึ้นเครื่องบินไฟลต์ DD8717 ลงสนามบินดอนเมือง เวลา 17.00 น. นั่งแท็กซี่จากสนามบินกลับที่พัก

วันที่ 29 พฤศจิกายน เวลา 16.30 น. ไปตรวจที่คลินิกแพทย์ และได้รับคำแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาล เวลา 17.00 น. นั่งรถยนต์ส่วนตัวมากับแฟน เพื่อมาตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน ผลตรวจพบเชื้อ SAR-CoV-2

กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อทั้งหมดถือเป็นเชื้อนำเข้า ยังไม่มีผู้ใดติดเชื้อที่ติดกันในประเทศไทย ขอให้ประชาชนมั่นใจในการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข ทว่า หลายโรงเรียนในจังหวัดพะเยา ได้สั่งปิดหลายแห่ง ตั้งแต่วันที่ 3-6 ธันวาคม และให้นักเรียนที่ไปร่วมเทศกาลดนตรีสิงห์เฟสติวัลงานเดียวกับที่สาวพะเยาติดเชื้อโควิดไปเที่ยวกักตัวอยู่บ้านก่อน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

ความน่าหวั่นใจเรื่องเชื้อนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็อย่างที่ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข แจกแจงว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม มีรายงานไปแล้วว่ามีผู้ติดเชื้อ 4 ราย ที่เชียงใหม่ 1 ราย และอีก 3 รายที่เชียงราย

ต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม 2563 สอบสวนค้นหาผู้สัมผัสเพิ่มเติมพบผู้ป่วยใหม่อีก 6 ราย โดย 2 รายอยู่ที่เชียงใหม่ อีก 4 ราย กระจาย อยู่ที่จังหวัดพะเยา พิจิตร ราชบุรี และกรุงเทพฯ จังหวัดละ 1 ราย ทั้งหมดทำงานที่ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงแห่งเดียวกัน ซึ่งจริงๆ พบข้อมูลว่ามีหญิงไทยไปทำงานที่นั่นกว่า 100 ราย แต่ยังไม่ทราบว่ากลับมาแล้วหรือหลงเหลืออยู่เท่าไหร่ ดังนั้นขอให้คนที่เข้ามาแล้วมารายงานตัวเพื่อเข้าสู่ระบบควบคุมป้องกันโรคด้วย

สำหรับความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ คุณหมอโสภณ อธิบายว่า กรณีที่ไปเที่ยวงานสิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย ผู้เสี่ยงสัมผัสสูงสุดคือเพื่อนที่นั่งโต๊ะเดียวกัน และเด็กเสิร์ฟ เท่านั้นพื้นที่กำลังติดตามตัว และผู้ป่วยไม่ได้ไปบริเวณหน้าเวที ดังนั้นศิลปินหรือผู้จัดงานไม่ต้องกังวล โดยปกติกิจกรรมต่างๆ หากดำเนินการตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข แนะนำ สามารถจัดได้ปกติ ยกเว้นคนที่เสี่ยงคือดื่มเหล้า เมากะโตน กินเหล้าแก้วเดียวกัน สูบบุหรี่มวนเดียวกัน

ส่วน เคส กทม.ก็ไม่ต้องกังวล เพราะคนที่สัมผัสเสี่ยงสูงสุด คือแฟนเท่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างกักตัว ส่วนแท็กซี่ที่เสี่ยงสูงก็กำลังตามตัว ส่วนคนที่ร่วมเดินทางบนเครื่องบินถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ เพราะบังคับสวมหน้ากากทุกคน สายการบินกำลังติดตาม

สธ. สรุป เคสทั้งหมด 10 รายที่ตรวจพบจากการลักลอบเข้าเมือง มี 5 รายไม่มีอาการ เพราะมารับตรวจหาเชื้อเร็ว ทำให้ระบบตรวจจับได้เร็ว เพราะฉะนั้นโอกาสแพร่เชื้อต่อไปให้คนอื่นก็จะน้อยกว่า คนที่มีอาการ ไอ หรือจาม ส่วนอีก 5 ราย มีอาการแต่ไม่รุนแรง เพราะเข้าระบบรักษาได้เร็วและยังอยู่ในวัยทำงาน

“บิ๊กป๊อก” – “ผู้ว่าฯ ประจญ” แอ่นอกรับผลกระทบไหวไหม?
เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นมา ฝ่ายความมั่นคง และกองทัพบก โดย “บิ๊กบี้-พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.”  ออกตัวว่าเส้นทางธรรมชาติตามชายแดนกว้างใหญ่ทหารไม่มีกำลังไปเฝ้าทุกจุด ยอมรับว่าไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเพิ่มชุดปฏิบัติการคุมพื้นที่เพื่อสกัดกั้นป้องกันแนวชายแดนช่องทางธรรมชาติโดยเน้นพื้นที่จังหวัดเชียงราย ให้เข้มงวดมากขึ้น

จะว่าไป จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีชายแดนติดกับท่าขี้เหล็ก เมียนมา ที่ตั้งสถานบันเทิงที่กลุ่มสาวเหนือติดโควิด-19 กลับมานั้น เป็นจุดล่อแหลมสุ่มเสี่ยงเลี่ยงกฎหมายเข้าเมืองที่ขึ้นชื่อลือชามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหนีภาษี แรงงานเถื่อน ยาเสพติด มีข่าวคราวการรับสินบาทคาดสินบนฉาวโฉ่เป็นระยะ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายที่จะมีการลักลอบเข้าเมืองเลี่ยงการกักตัวของกลุ่มสาวเหนือที่ไปทำงานที่สถานบันเทิงดังกล่าว

แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่จะปัดความรับผิดชอบไปได้ โดยเฉพาะ  ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย** คนปัจจุบันที่ชื่อ  ประจญ ปรัชญ์สกุล ที่ย้ายมากินตำแหน่งผู้ว่าฯ เชียงราย สลับกับ  “ผู้ว่าฯ หมูป่า” หรือ “ผู้ว่าฯ หนึ่ง” นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร  ที่ถูกเตะโด่งให้ไปนั่งเก้าอี้ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ทั้งๆ ที่ ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ มีผลงานสร้างชื่อก้องโลกในฐานะ  “ผู้บัญชาเหตุการณ์”  การช่วยเหลือ 13 ชีวิต  “ทีมหมูป่า”  ที่ติดถ้ำหลวง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จนลุล่วงด้วยดี

ส่วนสาเหตุการย้ายนั้น ว่ากันว่า มีชนวนเหตุมาจากสารพัดโครงการที่ผุดขึ้นในเชียงราย ยกตัวอย่างเช่น โครงการสร้างโรงแยกขยะ งบกว่า 300 ล้านบาท ที่เปิดใช้งานไม่ได้ เป็นต้น

และเมื่อ “ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” ถูกย้ายก็ทำให้นายประจญได้มีโอกาสย้ายกลับมาบ้านเกิดกินตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย โดยคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติอนุมัติตามที่ “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย”  เสนอต่อเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561

 ว่ากันตามจริง ต้องบอกว่าสภาพความสุ่มเสี่ยงของเมืองชายแดนที่ง่ายต่อการลักลอบเข้าออกอย่างเชียงราย นายประจญย่อมรู้ดีแก่ใจ ด้วยว่าเขาเป็นคนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เกิดและเติบใหญ่ ณ ที่แห่งนี้ และเมื่อจบรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และต่อด้วยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้า หน้าที่การงานเคยรับราชการที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นรองผู้ว่าฯ เชียงราย และย้ายไปเป็นรองผู้ว่าฯ พะเยา หนึ่งปี ก่อนขึ้นสู่เก้าอี้ผู้ว่าฯ พะเยา และถูกโยกสลับกับผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ มาเป็นพ่อเมืองเชียงราย ตามที่ “บิ๊กป๊อก” เสนอ

โดยเฉพาะ  โรงแรม 1G1 แหล่งแพร่ระบาดครั้งนี้ ผู้ว่าฯ ประจญ ในฐานะคนพื้นที่ย่อมรู้ดีว่า เป็นเช่นไร และเป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น แม้ต้นสายปลายเหตุจะเป็น “ความไม่รับผิดชอบ” ของประชาชน แต่ในฐานะพ่อเมืองก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะจะต้องจับตาโรงแรมดังกล่าวเป็นพิเศษ ยิ่งรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสถานบันเทิงซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดมากกว่าสถานที่อื่นๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะผลกระทบทบที่เกิดขึ้นมีมากมายมหาศาล ยิ่งกับ **ธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรม”** ที่กำลังจะโงหัวขึ้นก็มีอันพังพาบลงอีกครั้ง

 นายอนุรัตน์ อินทร ประธานหอการค้า จ.เชียงราย  เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2563-ก.พ. 2564 มีกรุ๊ปทัวร์จองจะมาเที่ยวหมู่บ้านโฮมสเตย์บ้านท่าขันทอง ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน 40 หลังคาเรือน และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องใกล้เคียง รวมไม่น้อยกว่า 30 กรุ๊ป แต่หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิดลอบข้ามแดนจากท่าขี้เหล็กเข้าพื้นที่ ทำให้ลูกค้ายกเลิกทัวร์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจนถึงวันนี้ยกเลิกไปแล้ว 18 กรุ๊ป และมีแนวโน้มจะยกเลิกอีก ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้แก่ธุรกิจไปแล้วรวมกันประมาณ 1.8 ล้านบาท เพราะแต่ละกรุ๊ปจะมีคนในกลุ่มประมาณ 40 คน ใช้จ่ายเงินรวมกันกว่า 100,000 บาท หรือบางกรุ๊ปอยู่ยาว 2-3 คืนก็จะคิดเป็นเม็ดเงิน 200,000-300,000 บาท แต่พอมีการยกเลิกทำให้ทุกอย่างพังทลายลงหมด ซึ่งไม่ได้เดือดร้อนแค่โฮมสเตย์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวเนื่องไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น คนทำอาหาร รถเช่า ฯลฯ ด้วย
“ตอนนี้อยากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเรื่องการให้ข้อมูลข่าวสาร เพราะทุกวันนี้มีข่าวเท็จหรือเฟกนิวส์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุดมีเฟกนิวส์ว่าจะมีการกักตัวคนขับรถนำเที่ยวที่กลับจากเชียงราย 14 วัน ทำให้คนขับรถไม่กล้าเข้าพื้นที่ เพราะเกรงว่าจะกระทบต่องานของเขาที่ขาดงานได้ไม่เกิน 10 วัน เป็นต้น ซึ่งหากมีการแก้ข่าวอย่างทันท่วงที พอเกิดเฟกนิวส์ภาครัฐก็จัดแถลงข่าวแก้ไขทันทีก็จะทำให้ปัญหาลดน้อยลง” นายเศรษฐศักดิ์กล่าว

ด้าน นายวิโรจน์ ชายา นายกสมาคมโรงแรม จ.เชียงราย  ซึ่งเป็นเครือข่ายของสมาคมสหพันธ์การท่องเที่ยวภาคเหนือ จ.เชียงราย เปิดเผยว่า สมาคมฯ มีสมาชิกเป็นผู้ประกอบการโรงแรม 80 แห่ง มีห้องพักรวมกันประมาณ 4,000 ห้อง แต่ถ้าทั้งจังหวัดเชียงรายจะมีโรงแรมที่พักประมาณ 400 แห่ง ห้องพักรวมกันกว่า 20,000 แห่ง

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีข่าวเรื่องการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบนี้มียอดจองห้องพักจากนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 80-90% เพราะเป็นไฮซีซัน แต่พอพบผู้ติดเชื้อดังกล่าวทำให้การจับจองห้องพักลดลงและมีการยกเลิกการจองต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่เชียงรายอาจเกิดผลกระทบมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นที่ระยอง เพราะไม่ได้เกิดจากบุคคลภายนอกที่ผ่านเข้าไปแล้วเดินทางออกไปอย่างรวดเร็วแต่เกิดจากคนภายในพื้นที่ จึงคาดหวังว่าจะได้รับการแก้ไขปัญหาแบบเดียวกัน คือหน่วยงานภาครัฐโหมจัดการประชุมสัมมนาในพื้นที่ขนานใหญ่จนทำให้สถานการณ์ดีขึ้น รวมทั้งอยากให้ภาครัฐได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว เช่น ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามถนน และจุดต่างๆ ด้วย

และไม่ใช่เฉพาะเชียงราย หากยังลามไปถึงทุกจังหวัดในภาคเหนือ และลามไปถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศอีกด้วย

ส่องโรงแรม 1G1 ท่าขี้เหล็ก ต้นทางแหล่งแพร่เชื้อ
มาตามไปส่อง  “โรงแรม 1G1”  ที่กลายเป็นต้นทางแพร่โควิด-19 ท่าขี้เหล็ก ลามถึงเชียงใหม่-เชียงราย กันสักเล็กน้อย สถานบริการในโรงแรม 1G1 ท่าขี้เหล็ก ซึ่งตั้งอยู่บนถนนเลาะลำน้ำสายกึ่งกลางระหว่างสะพานข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 1 และแห่งที่ 2 หรือห่างจากจุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 1 ประมาณ 2-3 กิโลเมตร เท่านั้น


 ว่ากันว่าผู้ลงทุนและถือหุ้นใหญ่มีทั้งนักธุรกิจชาวไต้หวัน และผู้ทรงอิทธิพลภายในท่าขี้เหล็ก เป็นโรงแรมขนาดกลาง สูง 4 ชั้น แต่เน้นความเป็นสถานบันเทิงครบวงจรที่หรูหรา พุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีฐานะร่ำรวย ต้องการเสพความบันเทิงในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงทั่วๆ ไปจนถึงเรื่องยาเสพติดบางชนิด ภายในโรงแรมมีทั้งที่พักหรูหรา คาราโอเกะ ผับบาร์ ร้านอาหาร บริการเด็กสาวนั่งดริ้งก์ ฯลฯ ชั้นล่างเป็นการให้บริการทั่วไปแบบผับ-บาร์ 

หากเป็นระดับวีไอพีและต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น จะมีบริการชั้นบนที่สูงขึ้นไปอีก มีคนคอยคุ้มกันการเข้าออกพื้นที่อย่างแน่นหนา ลักษณะห้องบันเทิง มีคาราโอเกะแบ่งเป็น 3 ระดับ ราคาต่ำสุดโต๊ะละ 500 บาทต่อชั่วโมง ระดับกลางโต๊ะละ 1,000 บาทต่อชั่วโมง และสูงสุดโต๊ะละ 2,000 บาทต่อชั่วโมง มีบริการเครื่องดื่มและอื่นๆ รวมทั้งบริการหญิงสาวนั่งดริงก์

รสนิยมของนักเที่ยว หญิงสาวจากไทยได้รับความนิยมในหมู่ผู้ไปใช้บริการมากที่สุด มีการคิดราคาหญิงสาวชาวไทยชั่วโมงแรก 800 บาท และชั่วโมงถัดไป 500 บาท แต่หากเป็นหญิงสาวจากพื้นที่อื่นๆ เช่น ชาวไทใหญ่ ราคาตายตัวชั่วโมงละ 300 บาท ตลอดการใช้บริการ บนโต๊ะนอกจากมีเครื่องดื่ม อาหาร กับแกล้มแล้วยังมี “ยาสวรรค์” ให้บริการดริงก์ละ 3,000-5,000 บาทด้วย

เป็นที่น่าสนใจว่ากลุ่มลูกค้าที่เข้าใช้บริการมากเป็นอันดับหนึ่งมาจากประเทศไทย ว่ากันว่ามีทั้งดาราและนักร้องคนดังต่างๆ รองลงมาคือชาวจีน ชาวพม่า และชนกลุ่มน้อยในรัฐฉานที่มีฐานะดี เช่น ว้า มูเซอ ฯลฯ

ด้วยความนิยมการเอนเตอร์เทนแบบไทยๆ ทำให้นักร้องชื่อดังจากประเทศไทยข้ามไปแสดงคอนเสิร์ตที่ผับใหญ่ของโรงแรมบ่อยครั้งจนเป็นเรื่องปกติ และเป็นที่ชื่นชอบของทั้งนักธุรกิจ คนใช้บริการ รวมไปถึงคนไปให้บริการ ซึ่งก็รวมถึงพนักงานหญิงสาวจากไทย อันเป็นที่มาของการลักลอบข้ามฝั่งไปทำงานให้บริการตามจุดต่างๆ ของโรงแรม 1G1 ท่าขี้เหล็ก

 ว่ากันว่าหญิงสาวที่ทำงานภายในผับ บาร์ หรือคาราโอเกะในศูนย์รวมความบันเทิงแห่งนี้ แต่ละคนได้ทิปหลายพันบาท หรือนับหมื่นบาทต่อคืน ทำให้มีความพยายามจะข้ามไปทำงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่มีวิกฤตโควิด-19 โดยมีทั้งข้ามไปตามช่องทางปกติด้วยบัตรผ่านแดนชั่วคราว-หนังสือเดินทางระหว่างประเทศ หรือพาสปอร์ต 


 แต่หลายคนก็เลือกข้ามไปตามช่องทางธรรมชาติที่ยังไม่เข้มงวดมากนักเหมือนช่วงเกิดวิกฤตไวรัสโควิด-19 จนต้องมีการปิดพรมแดนตลอดแนว เมื่อหาเงินได้ก็ไม่อยากให้ถูกตรวจสอบและไม่ต้องเสียเวลา แต่สามารถใช้เงินจ่ายให้คนนำพาข้ามไปส่งฝั่งไทยได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อลักลอบข้ามฝั่งไปแล้วหากไม่ลักลอบข้ามกลับมาก็จะต้องถูกดำเนินคดีจากทั้งฝั่งไทยและพม่าด้วย 

อย่างไรก็ตาม วิกฤตไวรัสโควิด-19 ทำให้หญิงสาวเอนเตอร์เทน 1G1 ต้องลักลอบข้ามแดนกลับไทยมากขึ้น หลังจากมีผู้นำเชื้อรายแรกเข้าไปติดกับพนักงานสาวแหล่งบันเทิง 1G1 ชาวพม่าอายุ 20 ปีคนหนึ่งและตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก่อนจะระบาดไปทั่วโรงแรมจนมีข่าวว่าพนักงานติดเชื้อไม่น้อยกว่า 17 คน รวมถึงสาวไทยอายุ 29 ปี ที่กลับตรวจพบเชื้อที่เชียงใหม่ 1 ราย และสาว อ.ขุนตาน จ.เชียงราย วัย 23 ปี กับสาวชาวพะเยาวัย 26 ปี

คาดว่าปัจจุบันยังมีหลายคนยังพยายามลักลอบข้ามมายังฝั่งไทย เพราะหลังเกิดวิกฤตทางการพม่าได้สั่งปิดโรงแรม 1G1 ไปแล้ว รวมทั้งสถานบันเทิงอื่นๆ ก็ปิดด้วย แม้แต่ร้านค้าและร้านอาหารต่างๆ ก็จำกัดเวลาให้บริการ และมีการตั้งด่านตรวจคัดกรองทั่วเมือง ด้านการข้ามเข้าออกแดนตามปกติก็ทำไม่ได้ในช่วงนี้ ทำให้หลายคนติดอยู่ตามหอพัก ที่อยู่บริเวณบ้านสันทรายเหนือ-บ้านสันทรายใต้ อันเป็นที่ตั้งของโรงแรมนั่นเอง.


กำลังโหลดความคิดเห็น