xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK “ผมอยู่ไม่เป็นจริงๆ”

เผยแพร่:





“สนธิ”ย้ำความผิดพลาดของรัฐบาล “ประยุทธ์” ในการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เพราะไปเบี้ยวสัญญากับจีนที่ช่วยซื้อข้าว 2 ล้านตันกับยางพารา 2 แสนตัน แลกกับให้จีนมาลงทุนทำรถไฟความเร็วสูง โดยอ้างว่าไม่ผ่าน สนช. ซ้ำโครงการความร่วมมือกลุ่มประเทศแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ที่จีนเสนอ ไทยก็ไม่ยอมลงนามในแผนปฏิบัติการ แต่กลับไปอยู่ในกลุ่มความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-สหรัฐฯ การมาเยือนไทยของนายหวังอี้ ล่าสุด ก็แค่แวะมาทักทาย และถือโอกาสคุยเรื่องการตั้งสถานกงสุลเพิ่ม เพราะสหรัฐฯ ได้ขยายกงสุลที่เชียงใหม่แล้ว ต่างจากการเยือนกัมพูชา-มาเลเซีย ที่มีข้อตกลงความร่วมมือระดับทวิภาคีที่สำคัญ ส่วนสถานการณ์ชุมนุมนั้น การการเอาคนเสื้อเหลืองออกมาปะทะม็อบเด็กถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของคนที่คิดเรื่องนี้ ถ้าจะเอาม็อบมาชนม็อบรัฐบาลจะแพ้ทุกประตู เพราะกลุ่มม็อบเด็กนั้นมีมืออาชีพคอยจัดการอยู่เบื้องหลังและเข้าใจถึงความรู้สึกของเด็ก แต่ขณะเดียวกันเด็กก็ถูกหลอกใช้ จึงเป็นเรื่องของฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน รัฐบาลเองก็สืบทอดอำนาจมาจากยุค คสช.โดยมีรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นเครื่องมือ ส่วนม็อบเด็กก็มี “ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ” อยู่เบื้องหลัง ใช้เด็กสร้างอำนาจต่อรอง และมีสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซง ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นตัวสร้างปัญหาทั้งสิ้น

วันที่ 23 ต.ค.63 เมื่อเวลา 09.00 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยวันนี้จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ “ผมอยู่ไม่เป็นจริงๆ” จะเป็นอย่างไรสำหรับสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ มาถึงวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ และยังมีเรื่อง 2 มหาอำนาจจีน-สหรัฐฯ พบนายกฯ ไทย ขอขยายกงสุลเพิ่ม มีนัยอะไร?



คำต่อคำ SONDHI TALK [23 ต.ค. 63] : ผมอยู่ไม่เป็นจริงๆ


วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"


สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ


สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งตรงกับวันปิยมหาราช เป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผู้ทรงมีคุณูปการอย่างมากมายมหาศาล ไม่สามารถจะอธิบายได้ในระยะเวลาสั้นๆ


วันนี้เป็นวันศุกร์ที่เป็นวันหยุด ผมหวังว่าท่านผู้ชมนอกจากจะพักผ่อนแล้ว ก็อาจจะนั่งฟังรายการนี้อยู่ วันนี้ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ สำหรับรายการวันนี้ ก็ขอรายงานและขอให้ท่านผู้ชมทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ร่วมเช่าพระไป และได้ร่วมบริจาคเงินทำบุญมาในการทำบุญครั้งใหญ่ของเรา ร่วมอนุโมทนาบุญไป เราจะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ของเงินทองที่เราได้มา

ท่านผู้ชมครับ เงินทองที่เราได้มา โดยสรุปเราให้เช่าพระไปทั้งหมด เราได้อยู่ 13,554,320 บาท บวกกับเงินกำไรจากการขายแก้วที่เราเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าเราหักต้นทุนแล้ว กำไรเท่าไร เราจะเอามาทำบุญ อีก 342,393 บาท สรุปแล้วเงินทำบุญทั้งหมดจากการให้เช่าพระและจากการขายแก้วไป เป็น 13,896,713 บาท หลังจากหักค่าทำบุญไปแล้ว เรายังมีเงินคงเหลือสำหรับทำกิจกรรมสาธารณะกุศลและการทำบุญอีก 1,279,713 บาท ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะลงในโพสต์ของเราให้ท่านผู้ชมทราบ แต่จะเล่าถึงรายละเอียดนิดหนึ่งว่าเราทำบุญอะไรบ้าง


ประการแรก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม เราได้เดินทางไปถวายผ้าพระกฐินที่วัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน ที่บ้านกกบก อำเภอวังสะพุง เราได้ทำบุญไป 4,099,999 บาท ก็มีเงินที่เราจ่ายมา ก็คือแบ่งเป็น เราเอาเงินจากที่เราร่วมเช่าพระไป ลงไป 2 ล้านบาท แล้วก็มีการร่วมทำบุญผ่านบัญชีการทำบุญซึ่งท่านผู้ชมหลายท่านก็ต้องการจะมาร่วมทำบุญด้วย แต่ไม่ต้องการจะเช่าพระอะไรทั้งสิ้น อีก 1,574,000 บาท แล้วก็ที่วัดเองก็มีประชาชนที่เป็นคนท้องถิ่น และจากหลายสารทิศ มาร่วมทำบุญ อีก 525,99 บาท แล้วก็เป็นส่วนที่มาจากทางผม ทางครอบครัวผม และทางหลายๆ ท่านที่ร่วมมาทำบุญครั้งหลังสุดอีก 525,99 บาท รวมเบ็ดเสร็จแล้ว 4,099,999 บาท




เงินก้อนที่สองที่เราทำบุญไปแล้ว ก็มีการเอาเงินจากกองทุนในการให้เช่าพระนั้น จำนวน 4 ล้านบาท ไปสร้างวิหารที่วัดเวฬุวัน ที่ผมเรียนให้ทราบว่าเป็นวิหารที่สมเด็จญาณสังวร ท่านทรงสร้างเอาไว้แต่ไม่เสร็จ ขาดอีกประมาณ 5 ล้านบาท เราเอาลงไป 4 ล้านบาท อีก 1 ล้าน อาม่าสุปราณี ขอร่วมทำบุญด้วย รวมเป็น 5 ล้านบาท ที่เราเอาไปทำบุญในการสร้างวิหารที่วัดเวฬุวัน จังหวัดบึงกาฬ แล้วถ้ามีการสร้างเสร็จ ก็น่าจะอีกไม่เกิน 3-4 เดือน เมื่อเสร็จแล้วก็จะมีการทำพิธีเฉลิมฉลองวิหารนี้


วิหารนี้จะเป็นวิหารที่ทุกคนจะได้บุญได้กุศล เพราะว่าจะเป็นวิหารในการแสดงธรรม ในการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เพราะฉะนั้นแล้วน่าจะเป็นบุญกุศลที่ให้กับผู้ที่ร่วมบริจาคร่วมทำบุญอย่างมหาศาล


ก้อนที่สาม ได้โอนเงินไปสร้างเจดีย์หลวงตามหาบัว ที่วัดป่าดอยลับงา จังหวัดกำแพงเพชร ของท่านพระอาจารย์นพดล ซึ่งท่านพระอาจารย์นพดล ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัวเช่นกัน และท่านเป็นพระพี่เลี้ยงผม ตอนที่ผมบวช ผมไปจำวัดอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด แล้วหลังจากจำวัดได้พักหนึ่งผมก็ออกเดินทางเพื่อที่จะไปแสดงธรรมตามที่ต่างๆ และท่านก็ได้รับมอบหมายจากองค์ตามหาบัวให้ไปเป็นพระพี่เลี้ยงผม 1 ล้านบาท เราโอนไปให้


และที่วัดป่าภูแปก อีก 1.5 ล้านบาท บวกอีก 5 แสนบาท เป็น 2 ล้านบาท คือยอดเงินที่ผมอธิบายให้ฟังแล้วเมื่อกี้นี้ วัดป่าวังศิลา อีก 2 ล้านบาท วัดป่าวังศิลา ก็เป็นวัดของสายหลวงปู่มั่น เช่นกัน

เราบริจาคเงินให้กับมูลนิธิเด็ก 5 แสนบาท แล้วก็บริจาคทำบุญที่วัดประสิทธิ์สันติธรรมาราม ซึ่งเป็นวัดสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จังหวัดนครราชสีมา อีก 1 ล้านบาท


เพราะฉะนั้นแล้ว ขอให้ท่านผู้ชมทุกท่านมาร่วมอนุโมทนาบุญกันว่าเราได้ทำบุญกุศลกันครั้งยิ่งใหญ่ แล้วก็จะมีเงินเหลืออีกประมาณ 1 ล้านกว่าบาท ที่เรากำลังพิจารณาอยู่ อะไรถ้าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นบุญเป็นกุศล ไม่จำกัดเฉพาะวัดนะครับ อาจจะเป็นโรงเรียน หรืออาหาร หรือการรักษาพยาบาล เราก็พร้อมจะใช้เงินก้อนนี้ ไม่เป็นไรครับ เงินหมด เดี๋ยวเราระดมกันใหม่ ท่านผู้ชมรับทราบอยู่แล้วว่าของเรานั้นจะไม่มีการกั๊กอะไรทั้งสิ้น อะไรที่เป็นเงินทำบุญเราจะเอาไปทำบุญ ทั้งหมดนี้ที่ผมพูดทุกเรื่อง เราจะโพสต์ลงในหน้า "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เพื่อให้ท่านผู้ชมได้ตรวจสอบและเช็กได้ตลอดเวลา


ท่านผู้ชมครับ วันนี้มีเรื่องที่ผมจะพูดหลายเรื่อง เรื่องแรก จะว่าเป็นเรื่องเล็ก ก็เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็ใหญ่ คือเป็นคำเตือนที่ผมมีต่อรุ่นน้อง หรือรุ่นลูก ที่ทำงานในหน้าที่สื่อมวลชน เขียนคอลัมน์ประจำ อาทิตย์ละครั้ง ชื่อ "เขม่าปืน" แล้วคนที่เขียนนี่ก็มีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ COP'S Magazine ก็คือเป็นนิตยสารเกี่ยวกับตำรวจ ผมเพียงแต่ว่า เห็นข้อมูลบางข้อมูลแล้ว ผมดูแล้วผมคิดว่าเจ้าของคอลัมน์และเจ้าของแมกาซีนนั้นต้องระวังตัวนิดหนึ่ง ผมเอามาพูดเพื่อแนะนำว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น ให้ระวังตัว เพราะว่าไปๆ มาๆ กลายเป็นรับงานเขามา เพราะว่าข้อเขียนที่เขียนนั้นไม่มีตรรกะเลยแม้แต่นิดเดียว


เรื่องที่สอง คือเรื่องวัคซีน อย่างที่บอกนะครับว่าเราได้มีข่าวดีว่า บริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ตัดสินใจมาเซ็นสัญญา (MOU) กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเป็นของทรัพย์สินฯ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานเงินในการลงทุน เพื่อจะผลิตวัคซีนออกมาในประเทศไทย เป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


เรื่องที่สาม คือเรื่องของการเยือนประเทศไทย เขมร กัมพูชา ประเทศลาว ตลอดจนมาเลเซีย ของนายหวัง อี้ การเยือนครั้งนี้ของนายหวัง อี้ มีนัยสำคัญที่มากกว่าการแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่ว่า นายหวัง อี้ มาขอให้เปิดสถานกงสุลของจีนเพิ่มอีกหลายแห่ง ซึ่งผมจะอธิบายให้ฟังว่าประเทศไทยมีสถานกงสุลของประเทศไทยอยู่ในจีน 9 แห่ง ส่วนสถานกงสุลประเทศจีนอยู่ในประเทศไทยแค่ 3-4 แห่งเอง เพราะฉะนั้นตามสิทธิ์แล้วเขาสามารถที่จะเปิดสถานกงสุลได้เพิ่ม ซึ่งก็ได้อนุมัติกันเรียบร้อยแล้ว ก็เหมือนเป็นการตอบโต้สหรัฐอเมริกา ที่สหรัฐอเมริกาได้สร้างสถานกงสุล ซ่อมแซม สร้างใหม่ ใหญ่มาก ด้วยเงินเกือบหมื่นล้านบาท แต่นัยเบื้องหลังของการสร้างสถานกงสุล มันมีอะไรหลายอย่างที่จะต้องอธิบายให้ฟัง ซึ่งมันจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างจีนและอเมริกาที่ตอนนี้ลามปามมมาจนถึงประเทศไทยแล้ว


แล้วก็มีหลายเรื่อง อย่างเช่นเรื่องของการเมืองระหว่างลุ่มแม่น้ำโขง ที่มี 6 ประเทศที่เกี่ยวข้อง คือ จีน พม่า ไทย ลาว เขมร และเวียดนาม แต่จู่ๆ อเมริกาซึ่งอยู่ห่างหมื่นกว่ากิโลเมตร ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ถ้าจะพูดถึงแม่น้ำของอเมริกาก็คือแม่น้ำมิสซิสซิปปี ซึ่งไม่ได้อยู่ฝั่งแม่น้ำโขง ก็เข้ามายุ่งเกี่ยว ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา และมีความขัดแย้งที่คนมองไม่เห็น และตลอดจนความไม่พอใจของประเทศจีนที่มีต่อประเทศไทยในปัจจุบัน แม้ว่าในฉากหน้าของการพบปะระหว่างท่านหวัง อี้ กับท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น จะดูชื่นมื่น แต่เบื้องหลังแล้วมีความขัดแย้งลึกๆ ที่ขบเหลี่ยมกันอยู่ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่มีเอกอัครราชทูตจีนมา 10 เดือนแล้ว ซึ่งเป็นที่ผิดปกติมาก แล้วผมจะอธิบายให้ฟัง


ส่วนเรื่องสุดท้าย คือเรื่องเก่า แต่ไม่เก่ามากนัก ท่านผู้ชมคงจำได้ว่าผมเคยพูดเรื่องนี้มานานแล้ว คือเรื่อง "ผมอยู่ไม่เป็น" ถ้าจำไม่ผิด เรื่องต่างๆ พวกนี้มันเป็นเรื่องที่ผมพยายามอธิบายให้ฟังว่าทำไมผมถึงอยู่ไม่เป็น แล้วหลังจากนั้นก็มีเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา จากการประท้วงของเด็ก จากการประท้วงของม็อบ หลายๆ อย่าง จนกระทั่งมาจนถึงปัจจุบันนี้ แล้วเมื่อวานซืนนี้ วันที่ 21 ตุลาคม ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่มีการปะทะกัน และผมก็มีความเห็นของผมที่จะอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง


ผมพูดเรื่อง "ผมอยู่ไม่เป็น" เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 สิบเดือน เกือบๆ จะสิบเดือน เก้าเดือนกว่า ปรากฏว่าจุดยืนของผม ที่ผมบอกผมอยู่ไม่เป็น วันนี้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นพิสูจน์ชัดว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นไม่ผิด ว่าผมอยู่ไม่เป็น

ท่านผู้ชมครับ มีเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ที่จริงๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนัก แต่เผอิญมันสะท้อนวิธีทำงานของสื่อมวลชนและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน ผมก็เลยอยากเอามาเล่าให้ฟัง


เผอิญในคอลัมน์ชื่อ "เขม่าปืน" ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ที่แล้ว คอลัมน์นี้จะเป็นคอลัมน์ที่ออกอาทิตย์ละครั้ง และเป็นคอลัมน์ที่เขียนเกี่ยวกับแวดวงตำรวจ ทีนี้ลักษณะคอลัมน์พวกนี้ ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ จะมีหมด ก็คือเป็นคอลัมน์เขียนเกี่ยวกับข้าราชการพลเรือนบ้าง คอลัมน์เขียนเกี่ยวกับวงการศึกษาบ้าง ยิ่งหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่านเยอะมากขึ้น หรือมีคนให้ความสนใจมากขึ้น บทบาทของคอลัมน์เหล่านี้ เล็กๆ น้อยๆ มันก็จะทำความเดือดร้อน หรือทำความสุขสมหวัง หรือทำให้หลายๆ คนที่มีความรู้สึกว่า ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมผมถึงถูกกระแนะกระแหนแบบนี้ ก็คือว่า ลักษณะคอลัมน์พวกนี้จะเจาะเป็นกลุ่มไป เจาะกลุ่มเรื่องการศึกษาบ้าง เจาะกลุ่มเรื่องข้าราชการพลเรือนบ้าง เจาะกลุ่มเรื่องข้าราชการกรมราชทัณฑ์บ้าง ทีนี้ คอลัมน์นี้พอเขียนออกมาแล้ว ถ้ามันไม่มีเหตุไม่มีผล หรือว่าเป็นเรื่องราวที่รับงานเขามา มันก็จะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้านายในหน่วยงานนั้น อาจจะค่อนข้างประสาทเสีย เรียกตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเพียงแค่ความเห็น 2-3 บรรทัดเท่านั้นเอง


ผมก็เลยเห็นว่าเรื่องนี้พอเช็กเข้าไปในรายละเอียดแล้ว เผอิญเป็นเรื่องเกี่ยวกับท่าน พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ซึ่งท่านเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งในโรงพยาบาลตำรวจเขาเรียกตำแหน่งนี้ว่า แพทย์ใหญ่ โดยสถานภาพของแพทย์ใหญ่ ก็คือผู้บัญชาการหน่วยงานๆ หนึ่ง ก็เหมือนกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ภาค 2 ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ในคอลัมน์นี้ก็จะพูดในลักษณะที่เรียกว่า มีคนเขาบอกว่านายแพทย์โสภณรัชต์ กำลังคิดที่จะยุบแผนกประชาสัมพันธ์ เปลี่ยนตัวคนโครงการต่างๆ ที่เคยทำมาก่อน มันก็เลยทำให้มีการกลัวว่าเดี๋ยวขึ้นมาแล้วโครงการพวกนี้จะถูกยุบไป จริงๆ ไม่มีอะไรมากมายนักหรอก เป็นเพียงแต่ว่าผมรำคาญลักษณะแบบนี้ แล้วผมเชื่อว่าคนที่เอาข่าวมาให้คอลัมน์ "เขม่าปืน" นี้ คือคุณโต้ง-ชนาธิป กฤษณสุวรรณ เป็นนักหนังสือพิมพ์อาจจะรุ่นน้องผม หรือรุ่นหลานผมก็ได้ เพราะว่าลูกชายผมอายุ 45 แล้ว


คุณชนาธิป ก็อาจจะใกล้เคียงกับรุ่นลูกชายผม ถือว่าเป็นการอธิบายความให้ฟังดีกว่าว่า ลักษณะคอลัมน์แบบนี้ ถ้าคนที่ทำงานในสื่อมวลชน แล้วต้องการจะเขียนเรื่องเขียนราวที่เจาะลงไปในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ข้อมูลที่เอามา ต้องระมัดระวังให้ดีๆ เพราะว่าข้อมูลที่คุณรับเข้ามา แน่นอนที่สุดคุณไม่สามารถจะเปิดเผยชื่อได้ เพราะว่ามีคนให้มา คนนี้นะ เขาวิ่งเต้นนะ โน่นนี่นั่นนะ คอลัมน์นี้ก็จะกลายเป็นคอลัมน์บัตรสนเท่ห์ไปแล้ว พอกลายเป็นคอลัมน์บัตรสนเท่ห์แล้ว ถ้ามันไม่จริงขึ้นมา ความเสียหายมันเกิดขึ้น อย่างเช่นกรณีของ พล.ต.ท. นพ. โสภณรัชต์ สิงหจารุ ในข้อเท็จจริงแล้วก็คือว่า คนที่เป็นแพทย์ใหญ่คนที่แล้ว ชื่อ พล.ต.ท.วิฑูรย์ นิติวรางกูร ซึ่งเป็นแพทย์ใหญ่อยู่มา 4 ปี เต็มที่เลย


4 ปีนี้ก็ตั้งคนของตัวเองขึ้นมา เมื่อตั้งคนของตัวเองขึ้นมาแล้ว พอ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ ซึ่งเคยเป็นรองแพทย์ใหญ่ ขึ้นมาเป็นแพทย์ใหญ่วันนี้ ก็เป็นปกติธรรมดา ถามว่า พล.ต.ท.โสภณรัชต์ มีสิทธิ์ไหมที่จะเปลี่ยนแปลงคนที่นั่งอยู่ในสำนักงานที่เขาจะมานั่งเป็นแพทย์ใหญ่ ก็ตอบว่ามีสิทธิ์ ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ล่ะ ก็ถ้า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ซึ่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้ามาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ต้องเปลี่ยนคนในสำนักงานของเขาซึ่งเป็นคนเก่าของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นปกติธรรมดาเหลือเกิน ผู้บัญชาการทุกแห่ง หรืออธิบดี หรือปลัดกระทรวงตามกระทรวงต่างๆ เมื่อตัวเองได้ขึ้นมาเป็นปลัดแล้ว ก็ต้องเอาคนที่เขาเชื่อใจ ไว้ใจ และมั่นใจ มาอยู่ข้างๆ ตัว เพราะฉะนั้นคนที่เคยถูกขอยืมตัวมา คนพวกนี้จะถูกขอยืมตัวมาหมด เหมือนกับตำแหน่งที่อยู่ภายในสำนักงานแพทย์ใหญ่นั้น ก็ถูกยืมตัว บางคนก็เป็นพยาบาล บางคนก็เป็นหัวหน้าแผนกหมอ บางคนก็เป็นโน่นเป็นนี่ ถึงเวลาเขาก็สามารถที่จะโยกย้ายกลับไปทำงานเดิมได้ และเขาก็ตั้งคนของเขาขึ้นมาได้


ปรากฏว่า งานนี้กลับกลายเป็นว่า พล.ต.ท.โสภณรัชต์ ก็เดือดร้อน ก็หาว่าจะไปยุบคนโน้น จะปลดคนนี้ คือเขาปลดใครไม่ได้หรอก เขาแค่ย้ายกลับไปนั่งที่เก่าที่ตัวเองเคยนั่งอยู่ แล้วถูกโยกย้ายมาโดยนายแพทย์ใหญ่คนเก่า แพทย์ใหญ่คนเก่าท่านก็เป็นเด็กของอดีต ผบ.ตร.คนหนึ่ง ซึ่งมีความยิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่แล้ว มีอิทธิพลอย่างมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นเมื่อ พล.ต.ท.วิฑูรย์ ไปแล้ว พล.ต.ท.โสภณรัชต์ ก็มีสิทธิ์ที่จะโยกย้ายได้ ผมก็เลยอยากจะเตือนสติรุ่นน้อง รุ่นลูก คุณชนาธิป กฤษณสุวรรณ ว่า โดยพื้นฐานแล้ว ข้อเท็จจริงแล้ว แหล่งข่าวที่ส่งมาก็คือแผนกประชาสัมพันธ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสำนักงานแพทย์ใหญ่ชุดปัจจุบัน อาจจะมีอะไรไม่พอใจ หรืออาจจะกลัวว่าตัวเองจะถูกโยกย้าย ก็เลยมากระซิบกระซาบบอก ก็เลยทำให้คุณโต้ง หรือคุณชนาธิป กฤษณสุวรรณ ซึ่งทำงานโดยเฉพาะจุดตรงนี้ ก็เขียนไป จริงๆ แล้วสำหรับผม ถ้าผมเป็นคุณโสภณรัชต์ ผมก็ไม่เดือดร้อนอะไรหรอก ผมคงไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันน่ารำคาญ และผมก็อยากให้คุณชนาธิป ในฐานะที่เป็นเพื่อนรุ่นน้อง หรือเพื่อนรุ่นลูก ในวิชาชีพเดียวกัน ผมคิดว่าผมสั่งสอนคุณได้พอสมควร แต่คุณอาจจะไม่ฟังผมก็ได้ ไม่เป็นไร เพราะความชำนาญหรือความเชี่ยวชาญในเรื่องข่าวต่างๆ พวกนี้ ผมคิดว่าผมมีมากพอสมควรที่จะให้คำแนะนำได้

เรื่องลักษณะอย่างนี้ ทีหลังอย่าเอามาลง เพราะว่าเป็นความขัดแย้งภายในระหว่างคนกับคน บางคนนั่งอยู่ที่เก่า นั่งนานจนรากงอก แพทย์ใหญ่คนที่แล้วอยู่ตั้ง 4 ปี เพราะฉะนั้นคนที่อยู่สำนักงานของแพทย์ใหญ่นี้ถ้าอยู่ได้นานถึง 4 ปี ก็แสดงว่าเป็นคนของ พล.ต.ท.วิฑูรย์ นิติวรางกูร แพทย์ใหญ่คนเก่า เมื่อคนใหม่มา ก็กลัวตัวเองจะโดนย้าย จะทำอย่างไรดี ส่งข่าวนี้ไปให้คุณชนาธิป หน่อยแล้วกันนะ ในฐานะที่เขียนคอลัมน์ชื่อ "เขม่าปืน" ในไทยรัฐทุกวันอาทิตย์ แล้วก็มีนิตยสาร COP's Magazine นิตยสารตำรวจ ซึ่งตัวเองทำมาประมาณ 14 ปีแล้ว ใช้ชื่อบริษัท ลิเภา เป็นเจ้าของ รายได้รวมตกปีละล้านกว่าบาท กำไรเฉลี่ยปีละ 3 แสนกว่าบาท


อันนี้เป็นบัญชีที่แสดงออกที่สำนักงานทะเบียนของบริษัทต่างๆ ก็อาจจะ เออ เคยมีความสัมพันธ์กัน เคยให้โฆษณากัน เคยให้เงินงบประชาสัมพันธ์มา เอาลงให้หน่อยแล้วกัน ผมเองผมก็คิดว่าอยากจะเตือนคุณชนาธิป และเตือนคอลัมนิสต์ทุกคอลัมนิสต์ที่ทำงานในลักษณะนี้ เพราะว่าคนทำหนังสือพิมพ์จะชอบมีคอลัมน์ของตัวเอง ถ้าเป็นคอลัมน์ใหญ่ที่เปิดขึ้นมาแล้วอยู่หน้า 3 หรือหน้า 4 นั่นเป็นนโยบายของเจ้าของหนังสือพิมพ์ แต่ถ้าเป็นคอลัมน์เล็ก ก็คุยกับผู้บัญชาการ คุยกับบรรณาธิการบริหาร พี่ๆ ผมว่าผมจะเขียนคอลัมน์เรื่องกระทรวงศึกษาธิการดีไหมพี่ สักอาทิตย์ละครั้ง เอาความเป็นไปในกระทรวงศึกษาฯ เพื่อจะดึง สรุปก็คือดึงลูกค้าเข้ามาอ่าน คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ พอรู้ว่ามีเรื่องคอลัมน์เกี่ยวพันกับตัวเอง อย่างเช่น บางคนอาจจะคิดคอลัมน์เขียนเรื่องการไฟฟ้านครหลวง ก็เอาพนักงานการไฟฟ้านครหลวงมาอ่านกัน แล้วมันจะมีอะไรดีเท่ากับการเขียนตามบัตรสนเท่ห์ ก็คือ มีบัตรสนเท่ห์มา ก็เขียนไปๆๆ ทั้งๆ ที่บัตรสนเท่ห์เป็นการกล่าวหาที่น่ากลัวและร้ายแรงมากๆ ผมไม่อยากให้รุ่นน้องหลายๆ คน หรือรุ่นลูกหลายๆ คน ตกเป็นเหยื่อนี้ ถ้าจะทำ ก็ทำได้ ไม่เป็นไรครับ เล่าความเป็นมา หรือเล่าเรื่องนโยบายต่างๆ แต่โดยหลักการแล้วต้องไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่ฝืนธรรมชาติเหมือนอย่างกรณีคนที่เคยทำงานในสำนักงานหนึ่ง เมื่อเขาเปลี่ยนตัวหัวหน้าสำนักงาน เป็นสิทธิ์ของหัวหน้าสำนักงานที่เขาสามารถจะโยกย้าย เก็บเอาไว้เหมือนเดิม หรือให้กลับไปทำงานที่เดิม และเขามีสิทธิ์ที่จะแต่งตั้งคนขึ้นมาใหม่ได้ ผมก็อยากจะเตือนสติเอาไว้นิดหนึ่ง


และอีกอย่าง ผมก็อยากจะฝากให้คิดนิดหนึ่ง คนที่ไม่อยากไป ไม่อยากไปเพราะอะไร นั่งทับอะไรไว้หรือเปล่า ผมเล่าให้ฟังนะครับท่านผู้ชม เรื่องเล็กๆ ไม่ได้มีเรื่องใหญ่ แต่ว่ามันมีนัยเยอะ ในวิชาชีพนี้ และผมเชื่อว่าคนหลายคนในหลายองค์กร จะโดนลักษณะคอลัมน์พวกนี้แดกดัน หรือแทงข้างหลัง หรือว่ารับบัตรสนเท่ห์มา หรือว่าคนที่ทำคอลัมน์นี้เกิดไปสนิทสนมกับใครในกระทรวง หรือในกรม หรือในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง คนๆ นี้ก็ส่งบัตรสนเท่ห์มาให้ หรือว่าหลอกใช้คนๆ นี้ คนๆ นี้ก็หลอกใช้ ต่างฝ่ายต่างหลอกใช้ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐต่างๆ มักจะพยายามสนิทสนมกับคนที่ทำคอลัมน์พวกนี้ ผมก็เลยอยากจะเตือนว่า ในฐานะที่เป็นรุ่นน้องในวงการนี้ ผมไม่อยากให้เดินทางให้ผิดพลาดไปในเรื่องนี้


สมมุติว่าในกรณีถ้าคุณจะทำนิตยสาร COP'S Magazine ซึ่งเป็นนิตยสารของคุณ ผมเชื่อว่าคุณก็ไม่กล้าเขียนหรอก คุณโต้ง คุณชนาธิป เพราะคุณต้องพึ่งพา ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ถ้าคุณกล้าเขียน คุณก็ต้องเขียนสิว่า บทบาทที่ตำรวจปล่อยปละละเลยให้ม็อบไปทำร้าย หรือไปกล่าวคำหยาบคาย เหยียดหยาม พระราชพาหนะของพระราชินี และองค์ทีปังกร คุณก็ไม่กล้าเขียนใช่ไหม เพราะคุณจะต้องพึ่งพา ผบ.ตร.ในแง่งบประมาณต่างๆ แค่นี้ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่า จริงๆ คุณก็คือมือปืนรับจ้างคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ผมไม่อยากให้คุณเป็นเช่นนี้ ผมเชื่อว่าคุณน่าจะพัฒนาไปได้ดีกว่านี้ และบรรดาคนต่างๆ ที่อยู่สำนักงานแพทย์ใหญ่ ลืมไปเสียเถอะ ผมจะเรียนให้ทราบว่าแพทย์ใหญ่ ก็คือผู้บัญชาการหน่วยงาน เมื่อเขาเข้ามารับงานใหม่ เขามีสิทธิ์ที่จะย้ายพวกคุณกลับไปยังที่เก่าที่คุณเคยอยู่ และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะตั้งคนของเขาขึ้นมา ส่วนการที่เขาจะยุบโครงการไหน หรือไม่ยุบโครงการไหนนั้น ย่อมเป็นวิจารณญาณส่วนตัวของเขา เรื่องมีแค่นี้เองท่านผู้ชม ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว

ท่านผู้ชมครับ เมื่อ 11 วันที่แล้ว วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563 มีข่าวชิ้นหนึ่งซึ่งสำคัญมาก แต่คนไม่ค่อยสนใจเท่าไร เพราะคนมัวไปสนใจในเรื่องของข่าวการชุมนุม ข่าวชิ้นนี้คือข่าวที่มีการเซ็นสัญญากัน MOU กัน ที่จะให้ประเทศไทยได้รับคัดเลือกเป็นฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือพูดง่ายๆ ว่า ประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตวัคซีนนี้ ที่จะไปส่งให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือในกลุ่มประเทศอาเซียนนั่นเอง เป็นการเซ็นสัญญาระหว่างบริษัท แอสตราเซเนกา ซึ่งคาดว่าบริษัทนี้จะผลิตวัคซีนพัฒนาใช้ได้ และเริ่มผลิตประมาณกลางปี 2564 คือกลางปีหน้า เรามาทำความรู้จักกับบริษัท แอสตราเซเนกา กันสักนิด


แอสตราเซเนกา (AstraZenaca) เป็น 1 ใน 5 บริษัทที่กำลังทดลองวัคซีนโควิด-19 อยู่ในระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะที่ 3 และมีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสำเร็จ ใน 5 บริษัทนั้นจะมี 4 บริษัท มีวัคซีนชื่อ สปุตนิก 5 (Sputnik 5) โดยบริษัท กามาเลยา ของรัสเซีย บริษัท โมเดอร์นา ของสหรัฐอเมริกา บริษัท ไฟเซอร์ ของสหรัฐฯ และบริษัท ซิโนแวค ของจีน


แอสตราเซเนกา เป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน เขาได้ทำงานร่วมมือ ลงทุนกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วิจัยวัคซีนป้องกันโควิด AZD1222 ในขณะนี้เป็นการทดลองขั้นที่ 3 แล้ว ก็คือมีกับกลุ่มตัวอย่าง 18,000 คน ซึ่งถ้าได้ผลแล้วก็สามารถจะขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานด้านอาหารและยา ของสหราชอาณาจักร อังกฤษ ทันที

ทีนี้ บริษัทที่มาร่วมลงทุน และมาเซ็นสัญญา MOU ให้เป็นฐานการผลิตนั้น ก็คือ บริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ (Siam Bioscience)


วัคซีนป้องกันโควิด ไม่ใช่ว่าทุกประเทศในโลกจะมีวัคซีนใช้ได้ทันที เพราะอะไรรู้ไหม ? เพราะ 51 เปอร์เซ็นต์ ของวัคซีนที่คาดว่าจะใช้ได้ผล ถูกกว้านซื้อไปหมดแล้ว โดยประเทศร่ำรวยที่มีประชากรรวมกันเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรโลก ประเทศที่คนรวย อย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ยุโรป เขากว้านซื้อวัคซีนไว้ล่วงหน้าแล้ว ใครก็ตามที่เตรียมตัวผลิต เขาวางมัดจำเอาไว้ เขาจะซื้อเท่านี้โดสๆๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ใน 100 โดส ที่ผลิตวัคซีนมา 51 โดส โดนล็อกไปแล้ว ล็อกโดยประเทศที่มีประชากรแค่ 13 เปอร์เซ็นต์ ของโลก ส่วนประชากรอีก 87 เปอร์เซ็นต์ ของโลกนั้น จะต้องรออีก 49 เปอร์เซ็นต์ 49 โดส ที่จะผลิตออกมาจาก 5 บริษัทนี้ การผลิตวัคซีน เมื่อผลิตเสร็จแล้วต้องกระจายให้ประชาชนในประเทศต่างๆ

การเซ็น MOU เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขของไทย และบริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ บริษัท เอสซีจี (SCG) และบริษัท แอสตราเซเนกา มีข้อตกลงอย่างนี้ครับ แอสตราเซเนกา จะมอบวัคซีนตัวอย่างที่ได้รับการรับรองแล้ว แล้วถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน AZD1222 ให้กับบริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ และร่วมมือกับบริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ ติดตั้งกระบวนการผลิตเพื่อผลิตวัคซีนสำหรับคนไทยก่อน และประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ไม่มุ่งหวังผลกำไร


การร่วมมือครั้งนี้เป็นการผลักดันจากกระทรวงสาธารณสุข โดยบริษัท เอสซีจี ซึ่งมีโครงการวิจัยและพัฒนากับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มายาวนาน เป็นผู้ประสานงานระหว่างประเทศไทย กับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ท่านผู้ชมครับ อยากจะแนะนำให้รู้จักบริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์


บริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ ทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ โดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บริษัทนี้เป็นผู้ผลิตยาชีววัตถุ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Biological Product ยาที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทยที่สามารถผลิตยาได้ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ก่อตั้งขึ้นมาตอนไหน ? 2552 โดยใคร ? โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงมีพระราชปณิธานให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพ สืบต่อมาจนกระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน คือพูดง่ายๆ ว่า การที่มีบริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ ขึ้นมา ทำให้ยาที่นำเข้าจากต่างประเทศ เราสามารถผลิตได้และถูกกว่ายานำเข้าถึง 40 เปอร์เซ็นต์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราดำรัสว่า ในเรื่องสุขภาพประชาชนนั้น คนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะพัฒนาประเทศ สร้างความพอมีพอกิน พระองค์จึงทรงให้ความสำคัญในการฟื้นฟูปัญหาสุขภาพประชาชนเพื่อการพัฒนาประโยชน์สุขให้เกิดกับส่วนรวม


ในช่วงที่โควิดระบาดใหม่ๆ บริษัท สยาม ไบโอไซเอนซ์ ได้ปรับพื้นที่บางส่วนของโรงงานเพื่อใช้ผลิตชุดตรวจไวรัสโควิด-19 แบบ RT-PCR ตามมาตรฐานสากล โดยตั้งเป้าผลิตชุดตรวจ 1 แสนชุดตัวอย่าง มอบให้รัฐบาลส่งต่อไปยังห้องปฏิบัติการทั่วประเทศไทย ท่านผู้ชมครับ งานนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูง อย่างสูงส่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ 10 ท่านผู้ชมครับ ไม่ได้พูดจากระแนะกระแหนนะครับ เราจะมีสิทธิ์ที่จะได้ใช้วัคซีนกลางปี 2564

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่เหมือนกับเป็นซีรีส์ แต่ไม่ใช่ซีรีส์ Netflix นะครับ เป็นซีรีส์ SONDHI TALK เป็นเรื่องของจีนกับอเมริกา แต่เผอิญ 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ผมได้พูดเรื่องยุทธการหมากล้อมปะทะหมากรุกสากล ท่านผู้ชมคงได้เห็นแล้วที่ผมใช้ iPad แสดงถึงแผนที่ว่าฐานทัพของจีนตั้งไว้ที่ไหนบ้าง แล้วจีนตั้งกองกำลังลักษณะแบบเป็นหมากล้อม ล้อมอเมริกา ซึ่งอเมริกาใช้กองเรือที่ 5 กองเรือที่ 6 และผมก็เล่าให้ท่านผู้ชมฟัง คำพูดๆ หนึ่งซึ่งผมพูดไปแล้ว และก็เป็นเรื่องอะไรบางอย่างที่มีคนสนใจมากพอสมควร ที่ผมบอกว่า น่าสนใจมาก ไม่มีใครรู้ และไม่ได้มีใครสังเกตว่าประเทศจีนเขาถือว่าประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด "ที่สำคัญที่สุด" ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือในกลุ่มประเทศอาเซียน แต่ประเทศที่สำคัญที่สุดในสายตาของประเทศจีน กลับไม่มีเอกอัครราชทูตมาประจำเป็นเวลา 9-10 เดือนแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น และปรากฏว่ามันเกิดว่าความสัมพันธ์ของไทยและจีนอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ซึ่งวันนี้ผมจะพูดให้ฟัง


แต่วันนี้ก่อนที่ผมจะพูดเรื่องนี้ให้ฟัง ผมจะเล่าเหตุการณ์ๆ หนึ่งให้ฟัง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เมื่อนายหวัง อี้ ... นายหวัง อี้ เป็นมุขมนตรี และขณะเดียวกันก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศจีน ได้มาเยือน 4 ประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งประกอบด้วย ลาว เขมร มาเลเซีย และประเทศไทย ซึ่งลักษณะการเยือนแบบนี้ ในทางการทูตและในวงภูมิรัฐศาสตร์ย่อมดูออกว่า ในขณะนี้จีนต้องการจะสร้างสัมพันธภาพที่สำคัญมากๆ มาแตะมือเอาไว้กับหลายๆ ประเทศให้รู้ว่าจีนกำลังทำอะไรอยู่ และขอให้แต่ละประเทศนั้นให้ความร่วมมือด้วย แน่นอนที่สุด ประเทศไทย ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วแอบจับมือกับประเทศสหรัฐอเมริกาในเรื่องการทหาร อย่างเช่น ข่าวล่าสุดมาแล้ว


อย่างที่ผมเคยเรียนให้ท่านผู้ชมทราบว่า กระทรวงกลาโหมบ้านเรา และกระทรวงการต่างประเทศบ้านเรานั้น บางครั้งในข้อตกลงอะไร หรืออนุญาตอะไร จะเก็บเป็นความลับ ไม่เปิดเผย อย่างเช่น ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมานี้ สำนักข่าวรอยเตอร์ได้แถลงออกมา เล่าให้ฟังว่า ประเทศอินโดนีเซีย โดยท่านประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ปฏิเสธ ไม่อนุญาตให้สหรัฐอเมริกาใช้อินโดนีเซียเป็นฐานจอดเครื่องบินสปาย P-8 Poseidon (โพไซดอน นี่ชื่อเครื่องบินนะครับ ไม่ใช่อาบอบนวด)


P-8 Poseidon เป็นเครื่องบินสปายที่มีอุปกรณ์ในเรื่องของการที่จะเช็กข้อมูล สปาย ส่งสัญญาณทางการสื่อสารไปยังกองเรือต่างๆ หรืออุปมาอุปไมยว่า เครื่องบินสปายนี้จะบินอยู่ความสูงที่สูงมาก แต่ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะส่งสัญญาณนั้นไปที่กองเรือ ไปที่เรือรบลำใดลำหนึ่ง หรือไปที่ฝูงบินของอเมริกา ในกรณีที่มีการเผชิญหน้ากัน และมีการประกาศการสู้รบกัน โดยอินโดนีเซียปฏิเสธ เพราะอเมริกาไปขอใช้สนามบินในอินโดนีเซียเป็นที่จอดของเครื่องบิน P-8 Poseidon เครื่องบินสปายของอเมริกา ซึ่งอเมริกาใช้เครื่องบินยี่ห้อนี้ รุ่นนี้ ชื่อนี้ บินตรวจตราในฝั่งเอเชียแปซิฟิก และมีอยู่หลายครั้งที่เครื่องบินลำนี้ก็บินเข้าใกล้ชายฝั่งจีน จนจีนส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไป เพื่อจะยิงเครื่องบินลำนี้ให้ตก P-8 Poseidon ก็เลยบินหนีไป


ก็พิสูจน์ได้ชัดเจนอย่างหนึ่งที่ผมเรียนให้ท่านผู้ชมฟังว่า อินโดนีเซียขณะนี้ไม่ได้ยืนอยู่ข้างอเมริกาเลย กลับยืนอยู่ข้างจีน อินโดนีเซียยืนอยู่ข้างจีน มาเลเซียยืนอยู่ข้างจีน ลาวยืนอยู่ข้างจีน เขมรยืนอยู่ข้างจีน ถามว่าเวียดนามยืนอยู่ข้างจีนหรือเปล่า ? เวียดนามไม่แสดงตัวว่ายืนอยู่ข้างจีน แต่ก็จะไม่ยอมให้อเมริกามาใช้ประโยชน์จากเวียดนาม ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างจีนและอเมริกา เหตุผลเพราะอะไร ? เหตุผลเพราะว่าเวียดนามได้ประโยชน์จากจีนที่จะให้สินค้าทางการเกษตรสามารถส่งเข้าทางจีนได้ โดยด่านตันตัน ซึ่งอยู่ติดมณฑลกวางสี กับทางเหนือของเวียดนามนั้น เปิดโอกาสให้สินค้าทื่ผ่านมาทางด่านนี้ เสียภาษีศุลกากร หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ จากของเดิมที่ 15 เปอร์เซ็นต์ เสียแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเวียดนามจะได้ประโยชน์ตรงนี้มาก สินค้าทางการเกษตรจากเขมร เวียดนาม ก็จะผ่านไปทางนี้หมด เพื่อที่จะเข้าสู่จีน เพราะฉะนั้นเวียดนามจะไม่มีทางที่จะยืนข้างอเมริกา ถึงแม้ว่าจะมีความขัดแย้งในเรื่องของพื้นที่ทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นหมู่เกาะสแปรตลีย์ ที่อยู่ในทะเลจีนตอนใต้ หรือหลายๆ หมู่เกาะก็ตาม แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าเขาสามารถจะพูดคุยกันทางการทูตได้ และเป็นความขัดแย้งที่มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมี เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่า การที่หวัง อี้ มาเมืองไทยครั้งนี้ จริงๆ แล้วมาก็เพื่อที่จะแสดงน้ำจิตน้ำใจ เพื่อให้เห็นว่าจีนยังสนใจไทยอยู่นะ แล้วก็อย่างที่ท่านผู้ชมอ่านข่าว ที่มีการลงข่าวกันไปลงข่าวกันมา ปรากฏว่า มันก็คือคำหวานในทางการทูตที่หวัง อี้ ชมประเทศไทย ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ชมประเทศจีน ชมกันไปชมกันมา แต่ท่านผู้ชมครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

สิ่งหนึ่งซึ่งหวัง อี้ ได้ทำ และได้ทำสำเร็จ เพราะว่าหวัง อี้ เห็นว่า ... จีนเห็นว่าอเมริกาได้ขอขยายกงสุลที่เชียงใหม่ให้ใหญ่โตมโหฬาร ว่ากันว่ากงสุลที่มูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านบาทนั้น มีชั้นใต้ดินลึกถึง 30 เมตร บางคน บางแหล่งข่าวบอกว่าลึกถึง 80 เมตร


จะกี่เมตรก็ตาม การก่อสร้างกงสุลด้วยเงินประมาณเกือบ 9,000 ล้านบาท นั้น จะต้องเป็นสถานกงสุลที่ไม่ใช่เป็นสถานกงสุลสำหรับที่ให้คน ประชาชนคนไทยไปติดต่อกงสุลอเมริกาในเรื่องขอวีซ่า เรื่องการติดต่อในด้านการทูตเลยแม้แต่นิดเดียว มันจะต้องเกี่ยวข้องกับการสืบราชการลับ และการสืบข้อมูล โดยใช้สถานกงสุลนั้นเป็นฐานทางภาคเหนือ อย่างที่ผมเคยชี้ให้เห็นว่า ฐานทางภาคเหนือที่เชียงใหม่นั้น เมื่อยืนอยู่ตรงเชียงใหม่ แล้วมองขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเชียงใหม่แล้ว จะเจอกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งประกอบด้วย มณฑลเสฉวน แล้วเหนือมณฑลเสฉวนขึ้นไปคือ ทิเบต เหนือทิเบต ก็คือชิงไห่ ชิงไห่ก็คือที่ตั้งของซินเจียง แล้วก็มีชนกลุ่มน้อยอุยกูร์อยู่ที่นั่น ตลอดจนมีฐานทัพของจีนนั้นตั้งอยู่แถวชิงไห่อยู่มากพอสมควร

เมื่อมองจากเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะพบกับมณฑลกวางสี และมณฑลกวางตุ้ง เพราะฉะนั้นแล้ว จีนวันนี้ก็เลยกลับมา กลับมาขออนุญาต ว่าจีนขอตั้งสถานกงสุลเพิ่มเติม


ปัจจุบันนี้จีนมีสถานกงสุลอยู่ที่ไทย 4 แห่ง คือ ที่ภูเก็ต สงขลา ขอนแก่น และเชียงใหม่

(แผนที่) เชียงใหม่อยู่นี่ เชียงใหม่แล้วขึ้น ไปเสฉวน มาทางขวาคือกวางโจว เชียงใหม่ขึ้นไปเฉิงตู เสฉวน แล้วไปที่ชิงไห่ ชิงไห่ก็คือซินเจียงนั่นเอง ท่านผู้ชมจะเห็นว่าขณะนี้ลักษณะการขอตั้งกงสุลของจีนที่ต้องการจะตั้งในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง


พื้นที่สีแดง คือพื้นที่ที่คาดว่าจีนต้องการขยายกงสุลเพิ่มเติม คือ บริเวณภาคเหนือตอนล่าง หรือภาคตะวันตก คือสิ่งที่จีนต้องการตั้งกงสุล ทำไมจีนต้องการตั้งกงสุลตรงนี้ ? มีคนทำนายว่า ส่วนหนึ่งจีนกำลังมองที่จังหวัดตาก และกาญจนบุรี แต่ผมคิดว่า ผมเชื่อว่าจีนต้องการตั้งกงสุลที่กาญจนบุรี ทำไมรู้ไหม ? เพราะว่าตรงกาญจนบุรี ข้ามมาทางฝั่งพม่าก็คือท่าเรือทวาย ท่าเรือทวายตรงนี้มีความสำคัญตรงไหนสำหรับจีน ? มีความสำคัญมากครับท่านผู้ชม

ท่าเรือทวาย สินค้าจากทวายส่งเข้ามา ผ่านกาญจนบุรี แล้วมาต่อกับแลนด์บริดจ์ของประเทศไทย ออกไปทาง EEC ออกไปทางเวียดนาม ออกไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก หรืออีกนัยหนึ่งคือ จากมหาสมุทรอินเดีย จีนส่งสินค้ามา หรือส่งวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ มา แล้วก็มาลงที่ทวาย จากทวายมีทางเชื่อมต่อมา แล้วมาออกอีกทีที่มหาสมุทรแปซิฟิก ตรงเวียดนามพอดี ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นอย่างไร


ส่วนสีแดง คือเส้นทาง Southern Coastal Corridor ซึ่งทำอยู่ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าจีนจะตั้งสถานกงสุลใหญ่อยู่ที่กาญจนบุรี ซึ่งอเมริกาไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้วสถานกงสุลตรงนี้จะเชื่อมต่อกับพม่า คือทวาย เพราะว่าตอนนี้พม่า อย่างที่ผมเรียนให้ทราบในรายการครั้งสุดท้าย ที่ผมพูดในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์จีนและอเมริกานั้น พม่าเดิมทีไม่เอาจีน แต่เกิดมีปัญหาขึ้นมาตอนเรื่องโรฮีนจา เพราะพม่ารู้ว่าโรฮีนจานั้น เกิดจากฝีมืออังกฤษ และอเมริกา รัฐยะไข่วุ่นวายไปหมดเลย เพื่อที่อเมริกา และอังกฤษ ตะวันตกจะได้แทรกแซงเข้ามา พม่ามีหลักฐานพิสูจน์ได้ชัดว่าอเมริกาและอังกฤษอยู่เบื้องหลังการลุกฮือ หรือความวุ่นวายที่ยะไข่โดยกลุ่มโรฮีนจา

ท่านผู้ชมครับ โรฮีนจา เป็นชนกลุ่มชาวเบงกาลี หรือพวกเชื้อสายพันธุ์ของพวกบังกลาเทศ โรฮีนจาพวกนี้จะเห็นได้ชัดว่าสร้างปัญหาให้กับพม่า ในที่สุดพม่าก็เลยตัดสินใจที่จะให้จีนไปตั้งฐานทัพในพม่า ที่อยู่ริมฝั่งมหาสมุทรอินเดียได้ ท่านผู้ชมจะเริ่มเห็นหมากล้อมนะครับ หมากล้อมหมากหนึ่ง จีนเอามาล้อมไว้ที่พม่า

ตอนนี้เรามาดูสถานกงสุลก่อน ของเรา ถามว่าเรามีกี่แห่งในประเทศจีน เรามีทั้งหมด 9 แห่งในประเทศจีน เรามีสถานกงสุลที่กว่างโจว สถานกงสุลคุนหมิง สถานกงสุลที่นครเซี่ยงไฮ้ สถานกงสุลที่นครเฉิงตู สถานกงสุลใหญ่ที่หนานหนิง สถานกงสุลใหญ่ที่ซีอาน สถานกงสุลใหญ่ที่เซียะเหมิน สถานกงสุลใหญ่ที่เมืองฮ่องกง และสถานกงสุลใหญ่ที่เมืองชิงเต่า เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าเรามีสถานกงสุลที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน มากกว่าที่จีนมีอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ เพราะฉะนั้น โดยความชอบธรรมแล้ว จีนเขาถึงเรียกร้องว่าเขาจะตั้ง และกระทรวงการต่างประเทศก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะถ้าพูดถึงจำนวนสถานกงสุลแล้ว ของเรามีมากกว่าเขา เมื่อเขาขอตั้งเพิ่ม เราก็ต้องให้เขาตั้ง

ทีนี้ ผมจะพูดเรื่องบางเรื่องให้ท่านผู้ชมฟังนิดหนึ่ง หวัง อี้ แวะมาที่ลาว หวัง อี้ แวะมาที่เขมร หวัง อี้ แวะมาที่ไทย และหวัง อี้ ก็แวะมาที่มาเลเซีย จะเห็นได้ชัดว่า ถ้าเราดูให้ดีๆ เราดูเขมร แล้วเราก็ดูลาว และเราดูมาเลเซีย จะเห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นหมากล้อม จีนก็วางหมากล้อมอเมริกาไว้แล้ว ก็คือ ลาว เขมร และมาเลเซีย ในกรณีที่ไทย เกิดไปเล่นกับอเมริกาขึ้นมา จะด้วยเหตุผลใดผมไม่รู้ แต่ถ้าวันนั้นเกิดขึ้น จีนเขาก็ยังมีเขมร จีนเขาก็ยังมีมาเลเซีย จีนเขาก็ยังมีลาว ซึ่งอย่างที่ผมเรียนให้ทราบคราวที่แล้วว่า เขมร จีนเขาได้ไปตั้งฐานทัพเรือของจีนอยู่ที่เมืองสีหนุวิลล์ เท่ากับว่าถ้าฐานทัพเรือจีนอยู่ตรงนี้ ก็สามารถจะยันกับไทยได้ทันที ในกรณีที่อเมริกามาอยู่ในเมืองไทย ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เขาป้องกันเอาไว้ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบคราวที่แล้วว่า เราสั่งซื้อรถถังสไตรเกอร์ของอเมริกามา 80-90 คัน จีนได้ส่งขีปนาวุธปราบรถถัง 300 ลูก ให้กับเขมร ก็คือว่า บล็อกกันไปบล็อกกันมา


ทีนี้ จีนมาประเทศไทย มาครั้งนี้ จริงๆ ก็มาทักทายกันเฉยๆ เพื่อไม่ให้ดูว่าทะเลาะกัน หรือว่าไม่พอใจซึ่งกันและกัน ทีนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่หลายอย่าง ผมสงสัยว่าประเทศไทย ลึกๆ แล้วแอบอนุญาตให้อเมริกาใช้ฐานทัพอากาศของไทย ไม่ว่าจะเป็นที่อู่ตะเภา หรือจะเป็นที่จุดใดจุดหนึ่งของประเทศไทย เป็นที่จอดและเติมน้ำมันของเครื่องบินสปาย P-8 Poseidon ที่อินโดนีเซียปฏิเสธไปแล้ว ทำไมผมถึงพูดเช่นนั้น ? เพราะว่าผมไม่ค่อยไว้ใจกระทรวงการต่างประเทศของไทย และกระทรวงกลาโหมของไทย เพราะว่าทำอะไรงุบงิบมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมรบ หรือการทำอะไรก็ตามที่มันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของภูมิภาคนี้ ไทยเราจะปิดข่าวเงียบ จะไม่พูดเลยแม้แต่นิดเดียว ผมก็เลยเกรงว่า ในขณะนี้ประเทศไทย "อาจจะ" ซ่อนข้อตกลงบางอย่างที่เราไม่รู้เรื่อง อาจจะเป็นเพราะว่าความโปร่งใสของรัฐบาลในชุดนี้ ก็ยังมีบทบาทของกระทรวงกลาโหมค้ำอยู่ มันก็เลยทำให้เราไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ผมจะไม่ประหลาดใจเลย อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า ถ้าอเมริกาติดต่อกับอินโดนีเซียเพื่อที่จะเป็นที่จอดเครื่องบินและเติมน้ำมัน P-8 Poseidon แล้ว เป็นไปได้สูงว่าไทยก็อาจจะถูกติดต่อมาแล้ว แล้วก็เป็นไปได้สูงว่าอาจจะอนุญาตไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่เราไม่รู้เรื่อง



ท่านผู้ชมดูนะครับ ถ้าอเมริกาใช้เครื่องบินบินเลาะตามชายฝั่งเหล่านี้ของจีนขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีที่ไหนจะเหมาะเท่ากับมาจอดเครื่องบินแล้วก็เติมน้ำมันที่ประเทศไทย เพราะที่เขมร เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ให้ เวียดนามก็ไม่ให้ เพราะเวียดนามไม่อยากทะเลาะกับจีน ที่อื่นก็ไม่ได้แล้ว เหลือเฉพาะที่ไทยที่เดียว เพราะฉะนั้นถ้าท่านผู้ชมพิจารณาไปตามที่ผมพูดแล้ว จะเห็นได้ชัด

ทีนี้ หวัง อี้ มาครั้งนี้ เขามาพูดเฉพาะเรื่องการเจรจาเกี่ยวกับกงสุลเป็นหลัก แทบไม่มีการพูดคุยเรื่องอื่นเลย หวัง อี้ ไปที่เขมร (กัมพูชา) เพื่อเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลง FTA จีน กับกัมพูชา เขาตั้งเป้าให้มีผลบังคับใช้ในปีหน้า จะเป็น FTA ฉบับแรกที่กัมพูชาทำกับประเทศคู่ค้าในรูปแบบทวิภาคี สองประเทศ เพื่อขยายการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน ตลอดจนส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน นี่คือการแก้เกมการค้าที่กัมพูชาต้องการลดผลกระทบ เพราะกัมพูชาโดนอียู (สหภาพยุโรป) บอยคอตในเรื่องการเลือกตั้งว่าไม่โปร่งใส แล้วฮุน เซน ปิดกั้นสถานภาพฝ่ายค้านหมดเลย โดยที่กัมพูชาไม่มีฝ่ายค้าน จีนก็เลยส่งเสริม เปิดโอกาสให้กัมพูชาสามารถที่จะส่งสินค้าเข้าจีนได้อย่างเต็มที่ โดยวิธีการส่งก็สามารถที่จะส่งผ่านเวียดนาม ขึ้นไปตลอดเวลาเลย ขึ้นไปทะลุจีนทางนี้เลย เขาสามารถจะทำได้


จีน-กัมพูชา ตกลงยกเลิกภาษีศุลกากรที่เก็บสินค้านำเข้าระหว่างกันเพิ่มเติมจากที่เคยลดแล้วในกลุ่มประเทศอาเซียน คือระหว่างจีนกับอาเซียนมีข้อตกลงกันแล้วข้อหนึ่ง ว่าสินค้าอาเซียนไปจีน ได้ลดเท่าไร งวดนี้เซ็นสัญญาใหม่ เฉพาะกัมพูชาเจ้าเดียวในอาเซียน และลาว และเวียดนาม ได้ลดลงมาเพิ่มอีก เพราะฉะนั้นแล้ว จีนส่งสินค้าออกไปจากกัมพูชา 9,500 รายการ ส่วนสินค้ากัมพูชาส่งไปจีน 10,000 กว่ารายการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าทางการเกษตร ในฉบับนี้เขาจะลดสินค้า ... อย่างเช่น เขายกเว้นภาษีศุลกากรจากจีน ยกตัวอย่างให้ อะไรบ้างล่ะ พริกไทย พริกแห้ง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กระเทียม น้ำผึ้ง ผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง และผลิตภัณฑ์อาหารทะเล เช่น หอยแมลงภู่ ปู ปลา ผัก ผลไม้ และที่เหลืออีกร้อยละ 5 จะได้รับการยกเว้นภายในระยะเวลา 10 ปี ท่านผู้ชม ที่ผมพูดมานี่นะ พริกไทย พริกแห้ง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กระเทียม น้ำผึ้ง ผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง และผลิตภัณฑ์อาหารทะเล หอยแมลงภู่ ปู ปลา ผัก ผลไม้ นี่มันสินค้าไทยทั้งนั้น ที่ไทยสามารถผลิตอยู่แล้วทุกวันนี้ แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าอีกหน่อย ด้วยวิธีนี้ กัมพูชาซึ่งมีพื้นที่ทางการเกษตรว่างมากกว่าไทยเยอะ ก็จะกลายเป็นแหล่งที่ผลิตผลิตผลทางการเกษตรแล้วส่งออกไปทางประเทศจีน พริกไทย น้ำผึ้ง อาหารกระป๋อง แล้วประเทศไทยอยู่ตรงไหน ท่านผู้ชม น่าสนใจมาก เพราะประเทศไทยไม่มีข้อตกลงนี้เลย เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ประกอบการในไทยบางรายอาจจะมองความตกลง FTA กัมพูชา-จีน เป็นความท้าทาย เพราะสินค้าที่กัมพูชาส่งออก ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากจีน (อาจ) เป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับที่ไทยส่งออก เพราะสินค้าส่งออกของกัมพูชาส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องแต่งกาย รองเท้า เครื่องหนัง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเอกชนไทยที่เข้าไปลงทุน เพราะฉะนั้นแล้ว คุณภาพการส่งออกของไทยต้องยกมาตรฐาน และในที่สุดแล้ว กัมพูชาก็จะเริ่มผลิตสินค้าทางการเกษตร และการส่งออกสินค้าทางการเกษตรเพิ่มเติมมากกว่าสินค้าทางอุตสาหกรรม ฉะนั้นโอกาสที่กัมพูชาต้องพึ่งพาจีนและเจริญเติบโตไปพร้อมกับจีนจะสูงมาก


ส่วนมาเลเซีย หวัง อี้ ไปแล้วตกลงอะไรกันบ้าง ? เขาตกลงที่จะสร้างความร่วมมือในทวิภาคี และที่สำคัญ รัฐบาลจีน และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เขาเชิญให้ร่วมมือกันขจัดการก่อกวนจากภายนอกที่เข้ามาในทะเลจีนใต้ หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า เขาบอกว่าอเมริกาที่กำลังใช้ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก ที่ผมเล่าให้ฟังคราวที่แล้ว อินโดแปซิฟิก ก็คือ อินเดีย มาร่วมมือกับญี่ปุ่น จากญี่ปุ่น ก็ไปร่วมมือกับอเมริกา แล้วก็มีออสเตรเลียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็เป็นอินเดีย ออสตรเลีย ญี่ปุ่น และอเมริกา (USA) ก็คือเขากำลังบอกว่า อาเซียนไม่ควรที่จะให้อเมริกาที่สร้างยุทธศาสตร์แปซิฟิก เข้ามาแทรกแซงในภูมิภาคนี้ จีนบอกว่า ในย่านนี้ไม่ควรจะให้อเมริกาเข้ามาแทรกแซง อเมริกาไม่มีหน้าที่ หรือจะบอกว่า อเมริกา อย่ามาเสือกเรื่องนี้


แล้วถ้าเรามองถึงกลุ่มประเทศอาเซียน เรามองพม่า ซึ่งตอนนี้เป็นของจีนแล้ว เรามองกัมพูชา แล้วเรามองมาเลเซีย แล้วเรามองลาว และอย่างน้อยที่สุดก็มีเวียดนามอีกเจ้าหนึ่ง 5 ประเทศ ซึ่งเป็น 5 ประเทศที่สำคัญในอาเซียน อย่าไปสนใจสิงคโปร์ สิงคโปร์ขนาดยังเล็กกว่าเขตพระนครของบ้านเรา ไม่มีความหมาย ไม่มีราคาในสายตาของจีน ฉะนั้นจีนก็จะเริ่มพัฒนา ส่งเสริมให้ธุรกิจจีนมาลงทุนที่มาเลเซีย พัฒนาความร่วมมือ 1 แถบ 1 เส้นทาง ใหม่ๆ


เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าการเดินสายของหวัง อี้ ครั้งนี้ เพื่อตอกย้ำความเป็นพันธมิตรกันของประเทศต่างๆ ที่ผมพูดให้ฟังเมื่อกี้นี้ ของเขมร ของเวียดนาม ของลาว ของพม่า และมาเลเซีย เห็นไหมครับ หมากล้อม ตอกย้ำว่าเราต้องร่วมมือกันนะ มีอะไรที่จีนจะช่วยได้ เดี๋ยวจีนจะช่วยให้

เมื่อเรามาดูแล้ว สำคัญที่สุดคือท่าเรือทวาย ท่าเรือน้ำลึกทวาย เป็น Logistic Hub จริงๆ เป็น New Landbridge เลยนะ จากทวาย เข้ามาในไทย แล้วไปออกทางเวียดนาม ถือว่าเป็น landbridge เมืองทวาย กับท่าเรือแหลมฉบัง เพราะสินค้ามาจากยุโรป ตะวันอออกกลาง แอฟริกา เอเชียใต้ ต้องผ่านท่าเรือน้ำลึกทวาย ออกสู่ท่าเรือแหลมฉบังของไทย แล้วก็สามารถส่งไปสู่ประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราดูตามแผนที่แล้ว มองตามหลักภูมิรัฐศาสตร์แล้ว จีนวางหมากล้อมไทยไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย นี่คือสาเหตุว่าทำไมพอนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ที่เข้ามา นายโยชิฮิเดะ ซูงะ พอเข้ามาปั๊บ ไม่ได้ทำอะไรเลย บินมาเยือนเวียดนามทันที โดยผู้นำญี่ปุ่นเดินมาถึงกรุงฮานอยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วันที่ 18 ตุลาคม เป็นการเริ่มต้นเยือนต่างประเทศ การเลือกเดินทางเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอกย้ำถึงความพยายามของญี่ปุ่นในการต่อต้านอิทธิพลของจีน และสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการป้องกันในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนเก่า


นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซูงะ พบกับนายกฯ เหงียน ซวน ฟุก ที่กรุงฮานอย แล้วก็พูดถึงญี่ปุ่นและบทบาทของญี่ปุ่น เพราะว่าเวียดนามปีหน้าจะเป็นประธานในที่ประชุมอาเซียน

ท่านผู้ชมครับ เรามาต่อเรื่องสำคัญมาก เรา รัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ การเมืองภายในผิดพลาดและถ่วงดุลมหาอำนาจล้มเหลวหมด ท่านผู้ชมจะเห็นนายทรัมป์ จับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ / สี จิ้นผิง จับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์




คือก่อนการเข้ามาของ คสช.ในสังคมไทย ได้มีการต่อต้านความเคลื่อนไหวของรัฐบาลและสถานทูตสหรัฐฯ ที่พยายามสนับสนุนและแทรกแซงกิจการในประเทศไทยผ่านทางสื่อและนักวิชาการในสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคเหนือของไทย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ คสช. ทำรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 อเมริกา และอียู ท่านผู้ชมตามผมมา แล้วผมอยากให้เจ้าหน้าที่ คสช. และท่านนายกรัฐมนตรีฟังให้ดีๆ คสช. ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อเมริกาและประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปได้ทำการประณามประเทศไทยอย่างรุนแรง ทั้งยังข่มขู่ด้วยว่า ห้ามสมาชิก คสช. เดินทางเข้าประเทศ จะคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงจะยึดทรัพย์สมาชิก คสช. ในต่างประเทศ ตัดสิทธิ์ต่างๆ ทั้งในเรื่องสิทธิทางการเมือง การประมง และสิทธิอื่นๆ ประมงไทยที่ต้องอยู่ Tier 3 ก็ฝีมือของยุโรปและอเมริกา อเมริกาตัดสิทธิ์ GSP


ตุลาคม 2557 หลังจากที่เข้ามายึดอำนาจแล้ว เดือนตุลาคม ปีเดียวกัน เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปอิตาลีเพื่อประชุมกลุ่มประเทศเอเชีย-ยุโรป ที่เขาเรียกว่า อาเซ็ม กลุ่มประเทศ จี20 ได้บีบให้ประเทศไทยตัดสินใจทำรถไฟความเร็วสูงด้วยระบบชินกังเซ็นของญี่ปุ่น เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ รวมถึงภาคอื่นๆ ด้วย โดยการกดดันดังกล่าวในขณะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ค่อยพอใจเท่าไร


เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยก็เลยสั่งการให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประสานกับจีน เจรจากับจีน เพื่อขอประสานความร่วมมือสร้างทางความเร็วสูง 3 เส้นทาง คือ หนองคาย-โคราช-กรุงเทพฯ-สระบุรี-แหลมฉบัง เพื่อเป็นการคานอำนาจ แล้วก็ไม่ใช่ไปขอให้จีนเข้ามาสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นนี้เท่านั้นนะ ยังขอให้จีนซื้อข้าว 2 ล้านตัน และยาง 2 แสนตัน อีกด้วย คือพูดง่ายๆ ว่า ผมจะเอาคุณเข้ามาคานอเมริกาแล้วนะ อเมริกาและยุโรป จี20 บังคับ บีบให้เราต้องใช้รถไฟความเร็วสูงชินกังเซ็น จีนมาช่วยได้ไหม ทำรถไฟความเร็วสูงจากหนองคาย มาโคราช มาสระบุรี แล้วต่อกรุงเทพฯ แหลมฉบัง มาบตาพุด แต่ว่า ไหนๆ เฮียจะมาแล้ว เฮียจะมาคานและเฮียก็ได้ประโยชน์ได้ เสียค่าต๋งให้ผมหน่อยได้ไหม ค่าต๋งคืออะไร ? ข้าว 2 ล้านตัน ยาง 2 แสนตัน และข้าวส่วนหนึ่งของ 2 ล้านตัน น่าจะประมาณ 1 ล้านตัน คือข้าวเน่า จีนก็กัดฟันซื้อ รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เห็นหรอก แต่ว่าเพื่อผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จีนจะได้เข้ามาในประเทศไทยได้ จีนจะได้เข้ามาในประเทศไทยได้หลายๆ วิธี ก็ยอม ยอมซื้อข้าว 2 ล้านตัน ยาง 2 แสนตัน


ตอนนั้นผมจำได้ว่าฝั่งจีน ตัวแทนของจีนคือ นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ประชุมแล้วรับปากหมดเลย เอา ข้าว 2 ล้านตัน ได้ ยาง 2 แสนตัน ได้ รถไฟ ได้ เดี๋ยวทำ แต่ว่าฝั่งไทยระบุว่า จะต้องขออนุมัติเรื่องดังกล่าวจาก สนช. ก่อนจะลงนามในเดือนพฤศจิกายน 2557 ท่านผู้ชมครับ อย่าลืมนะ ว่า คสช.เข้ามาประมาณพฤษภาคม 2557 ตุลาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ไปประชุมอาเซ็ม (เอเชีย-ยุโรป) ที่ประเทศอิตาลี จี20 เดือนตุลาคม บีบให้ไทยใช้รถไฟความเร็วสูงชินกังเซ็น พอเดินทางกลับมาเมืองไทย พล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ พล.อ.ประวิตร บินไปจีนเลย บินไปเจรจา แล้วก็พร้อมจะลงนามกัน เจรจาเสร็จ ลงนามกันในเดือนพฤศจิกายน ตุลาคม กลับจากอาเซ็ม พล.อ.ประวิตร บินไปจีนเลยภายในตุลาคม เจรจาหมด รวมทั้งขายข้าว 2 ล้านตัน ยาง 2 แสนตัน แล้วก็เอาจีนมาลงทุน มาทำรถไฟความเร็วสูง หลังจากนั้นอีก 1 เดือนจะต้องเซ็นสัญญากัน พฤศจิกายน 2557 แต่เผอิญเซ็นไม่ได้ เพราะว่ารัฐบาลไทยบอกว่าต้องให้ สนช.ผ่านก่อน แต่เผอิญ สนช.ไม่ได้ประชุมเรื่องนี้ และไม่ได้ผ่าน ซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นแผนที่วางไว้หรือเปล่า


นายกรัฐมนตรีต้องลงนามในเดือนพฤศจิกายน 2557 ตอนไหน ? ตอนที่นายกฯ ประยุทธ์ จะไปประชุมเอเปกที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียแปซิฟิก หรือเอเปก ครั้งที่ 22 ระหว่างวันที่ 9-11 พฤศจิกายน 2557 ต้องเซ็นตอนนั้น พฤศจิกายน 2557 เมื่อนายกฯ ประยุทธ์ เดินทางไปประชุมเอเปกที่ปักกิ่ง ก็ปรากฏว่าเรื่องความร่วมมือยังไม่ผ่าน สนช. (สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ทำให้ฝั่งไทยไม่สามารถลงนามได้ แต่ก็แก้เกมด้วยการประกาศสนับสนุนยุทธศาสตร์ เส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเลของจีน ก็คือ หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง รวมทั้งประเทศไทยเข้าไปเป็นสมาชิกก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย หรือที่เขาเรียกว่า ASEAN Infrastructure Investment Bank : AIIB ที่จีนเป็นคนตั้งขึ้นมา แล้วประเทศไทยใส่เงินเข้าไปด้วยนะ 50,000 ล้านบาท (1,470 ล้านเหรียญสหรัฐ) และ ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559


แต่พอจีนเริ่มซื้อข้าว 2 ล้านตัน ยาง 2 แสนตัน จากไทยแล้ว ไทยกลับเบี้ยวเรื่องรถไฟความเร็วสูง ที่ไทยเบี้ยวรถไฟความเร็วสูงไม่ใช่เพราะอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมถึงเบี้ยว

ต่อมาก็เลยเปลี่ยนจากการลงทุนร่วม มาเป็นว่าจ้าง ก็คือเดิมทีให้จีนมาลงทุนกับไทย ไทยเบี้ยว เมื่อเบี้ยวแล้ว หลังจากที่เขาขายข้าวไปเรียบร้อยแล้ว จีนรับซื้อข้าวและยางไปเรียบร้อยแล้ว ไทยก็เบี้ยว จากการร่วมลงทุน ก็มาเป็นว่าจ้างให้จีนเป็นคนออกแบบแล้วก็ให้ทางด้านเทคโนโลยี ไทยจะเป็นคนลงทุนเอง ให้ผมอ่านเกมตรงนี้ ตอนที่เปลี่ยนจากการลงทุนร่วมเป็นว่าจ้าง ก็เพราะว่าถ้าการว่าจ้างแล้ว มันมีผลประโยชน์เต็มไปหมด ซึ่งฝั่งไทยจะได้ ไม่ว่าจะเป็นการเวนคืนที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นทางจีนเสนอเครื่องมือมา เสนอหัวรถจักรมา เสนออุปกรณ์มา ก็ให้บวกๆๆ เป็นปกติธรรมดาของการซื้อขายระหว่าง จีทูจี จีน รัฐบาลเขาจะไม่เจรจาตรง แต่เขาจะให้บริษัทซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลจีน เป็นคนเจรจาแทน เหตุผลที่จีนทำเช่นนี้เพราะบริษัทต่างๆ เหล่านี้ก็สามารถจะจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ได้


เอาล่ะ ก็เปลี่ยนแผนการก่อสร้าง โดยตกลงใจว่าจะก่อสร้างกรุงเทพฯ-โคราช ก่อน แล้วเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แบ่งเป็นการก่อสร้างเส้นทางกรุงเทพฯ-โคราช เป็น 4 ช่วง ช่วงที่ 1 คือ บ้านกลางดง-บ้านปางอโศก 3.5 กิโลเมตร ช่วงที่ 2 จากปางอโศก มากรุงเทพฯ 11 กิโลเมตร ช่วงที่ 3 ปลายทางเข้ากรุงเทพฯ ประมาณ 100 กิโลเมตร และช่วงที่ 4 จากบ้านกลางดง ไปโคราช ประมาณ 100 กิโลเมตร รวมค่าก่อสร้างทั้งหมด 170,000 ล้านบาท แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ?

ต่อมาก็เปลี่ยนข้อตกลงอีก โดยจะขอสร้างทดลองช่วงแรกก่อน ที่บ้านกลางดง-บ้านปางอโศก ท่านผู้ชมครับ รถไฟความเร็วสูง ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร นี่มันไม่ใช่รถไฟความเร็วสูงแล้วครับท่านผู้ชม มันเป็นซาเล้ง รถสามล้อที่จะถีบกัน 3.5 กิโลเมตร โดยให้กรมทางหลวง ซึ่งไม่เคยก่อสร้างทางรถไฟเลย เป็นผู้ดำเนินการ


ตอนนั้นล่ะท่านผู้ชม จีนรู้แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มเบี้ยวละ ทางรถไฟความเร็วสูง 3.5 กิโลเมตร ดังกล่าว เพิ่งเสร็จเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมานี่เอง 3.5 กิโลเมตร ใช้เวลาสร้าง 2 ปี 6 เดือน เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัด


เดือนเมษายน 2559 สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ เยือนจีน โดยพระราชกรณียกิจวันที่ 5 เมษายน 2559 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินไปเรือนรับรองของรัฐบาล เตี้ยวยู่ไถ นายหลี่ หยวน เฉา รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ ถวายพระกระยาหาร รองประธานาธิบดีจีนได้กราบบังคมทูลเรื่องความร่วมมือด้านรถไฟ สมเด็จพระเทพฯ มีพระราชดำรัสว่า ควรสนใจความร่วมมือการถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงด้วย และสมเด็จพระเทพฯ ยังมีพระราชดำรัสถึงเรื่องแม่น้ำล้านช้าง แม่น้ำโขง ที่นายกรัฐมนตรีเพิ่งมาประชุม เพื่อความสำเร็จในการบริหารจัดการในเรื่องน้ำของแม่น้ำโขง

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูเรื่องแม่น้ำโขงนิด การเสด็จฯ เยือนของพระเทพฯ รวมไปถึงการริเริ่มของจีนที่จะจัดการประชุมกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ จีน ไทย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม นี่คือ 6 ประเทศที่เกี่ยวพันกับแม่น้ำโขง โดยต้นแม่น้ำโขงอยู่ที่จีน อยู่ที่ทิเบต น้ำจากภูเขาหิมาลัยไหลผ่านมาทางที่ราบทิเบต ลงมาเรื่อยๆ มาจนถึงจีน สิบสองปันนา ที่เขาเรียกว่าแม่น้ำล้านช้าง (หลานชัง) เจียง แล้วก็ไล่ลงมา ผ่านพม่า ก็เรียกว่าแม่น้ำโขง ชื่อทางการ คือ ความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง


จีนได้พยายามที่จะร่วมพัฒนาแม่น้ำโขง ให้เป็นแม่น้ำแห่งสันติภาพ และการพัฒนาให้พ้นสภาพจากอาชญากรรมและยาเสพติด พัฒนาแม่น้ำโขงให้เป็นแม่น้ำแห่งการท่องเที่ยวทั้ง 6 ประเทศ (จีน ไทย ลาว เขมร พม่า เวียดนาม) ส่วนจีน พม่า และลาว ซึ่งจีนอยู่ต้นน้ำ พม่าอยู่ใต้ต้นน้ำมานิดหนึ่ง แล้วก็ลาว อยู่กลางน้ำ จะร่วมกันบริหารจัดการปล่อยน้ำที่ต้นน้ำ จากจีน ให้มีการไหลเวียนเพียงพอต่อการเดินเรือตลอดทั้งปี น้ำจะไม่ขาดแล้ว จะไหล จะเพิ่มน้ำเข้ามาตลอดทั้งปี โดยต้นน้ำมีน้ำจากแม่น้ำล้านช้าง มาถึงแม่น้ำโขง 40 เปอร์เซ็นต์ จากพม่า-ลาว อีกประเทศละประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ก็ประมาณ 100 เปอร์เซ็นต์ จีนก็เลยรับภาระในการขุดลอกแม่น้ำโขงให้รองรับการเดินเรือระวางขับน้ำ 500 ตัน จีนจะออกเงินเอง ประเทศไทย โดยนายกฯ ได้ร่วมพิธี ไปเปิดการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดที่เมืองซานย่า มณฑลไหหลำ วันที่ 23 มีนาคม 2559 และเดินทางกลับ โดยไม่ได้ลงนามในแผนปฏิบัติการ ไม่ได้ลงนามเลย ทำให้จีนต้องส่งอธิบดีอาเซียน กรมความมั่นคงสาธารณภัย มาพบ พล.อ.ประวิตร แต่ พล.อ.ประวิตร บอกว่าไม่มีอำนาจดูแล เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ


ท่านผู้ชมครับ กระทรวงการต่างประเทศนั้น เป็นลูกไล่และเป็นสุนัขรับใช้ของสหรัฐอเมริกาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว จากนั้นก็เลยมีการปล่อยข่าวว่าการขุดลอกแม่น้ำโขงกระทบการแพร่พันธุ์ของปลา ท่านผู้ชม แม่น้ำโขงทั้งลำ มีการปล่อยข่าว เอา NGO มาบอกว่า ไม่ได้นะ ไปขุดลอกแม่น้ำโขง มันจะทำให้ปลาไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ ปลาประเภทหนึ่ง ทำให้การขุดลอกแม่น้ำโขงทั้งลำมันต้องหยุดชะงัก เพราะปลาบ้าเพียงประเภทเดียวเท่านั้นเอง เกิดมาผมไม่เคยเจอ ก็เจอมาแล้วนะ

ตอนนี้จีนเขารู้แล้วว่า เป็นการบิดพลิ้วของไทย เพราะว่าเกิดจากแรงกดดันของอเมริกาและญี่ปุ่น เพื่อปิดกั้นประเทศจีน เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่จะตอบสนองนโยบาย หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง และยุทธศาสตร์ "2 มหาสมุทร" ของจีน "2 มหาสมุทร" ของจีนหมายความว่า เอเชียแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ให้ประสบผลสำเร็จ โดยล่าสุด อเมริกาพยายามผลักดันให้เกิดความร่วมมือกลุ่มแม่น้ำโขง-สหรัฐฯ หรือที่เขาเรียกว่า Mekong-U.S. Partnership ให้ได้


ท่านผู้ชมครับ อเมริกาอยู่ 15,000 กิโลเมตร ฝั่งโน้น แล้วมายุ่งอะไรกับแม่น้ำโขง เป็นหุ้นส่วนของแม่น้ำโขง-สหรัฐฯ มายุ่งอะไร ที่เขาตั้งกัน 6 ประเทศ เพราะเขาเกี่ยวข้องกันกับแม่น้ำโขงทั้งสิ้น จีน-ต้นน้ำ พม่า-เลยต้นน้ำมาหน่อย ลาว-กลางน้ำ แล้วก็วิ่งเข้ามาในลาว วิ่งเข้ามาในเขมร เสร็จแล้วต่อด้วยเวียดนาม และไทยอยู่อีกฝั่งหนึ่ง 6 ประเทศนี้ที่ต้องคุยร่วมกัน

2562 นายไมก์ พอมเพโอ มาเยือนประเทศไทย ออกมาพูดว่า การโหมสร้างเขื่อนนับสิบแห่งของจีน เป็นต้นเหตุทำให้ประเทศทางท้ายน้ำประสบภาวะขาดแคลนน้ำ

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ต้องคุยกันในเรื่องของข้อเท็จจริงกันนิดหนึ่ง เมื่อจีนเขาต้องการให้ไทยลงนามในสนธิสัญญาเรื่องพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ที่เมืองซานย่า เกาะไหหลำ แล้วไทยไม่ยอมลงนาม เมื่อไทยไม่ยอมลงนาม จีนก็เลยจับมือกับพม่า ลาว เขมร และเวียดนาม โดยที่ไทยไม่ได้เกี่ยวข้อง ท่านผู้ชมจะเห็นว่าลำน้ำโขงเมื่อมันผ่านประเทศไทยแล้ว อีกฝั่งหนึ่งเป็นฝั่งลาว แล้วการแบ่งเขตของลำน้ำ เนื่องจากสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศสมีมานานแล้วว่าบนเกาะนี้ เกาะกลางน้ำคือเส้นแบ่งเขต เพราะฉะนั้นฝั่งนี้อยู่ฝั่งไทย ก็คือฝั่งไทย เกาะฝั่งนี้อยู่ฝั่งลาว ก็คือฝั่งลาว


กลุ่มประเทศ 6 ประเทศ 5 ประเทศ ก็เลยตกลงกันว่า เอาล่ะ จีนจะใช้อย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้นจีนจะขุดลอกแม่น้ำโขงในฝั่งที่อยู่ในอำนาจของประเทศ เช่นพม่า เช่นลาว เช่นเขมร ก็คือสมมุติว่าลำน้ำโขง ...

ผมจะเขียนให้ดู ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ เขื่อนจิงหง คือเขื่อนของสิบสองปันนา/เชียงรุ้ง นี่้คือของจีน เริ่มจากตรงนี้ แล้วก็ลงมาเรื่อยๆ ก็จะเจอเขื่อนหลวงพระบางของลาว ลงมาเรื่อยๆ แม่น้ำโขง เขื่อนบ้านกุ่ม เขื่อนปากชม เขื่อนภูงอย มาเรื่อยๆ เขาก็ใช้วิธีอย่างนี้ เอาล่ะ แม่น้ำโขงฝั่งที่อยู่ติดลาว เขมา เขาก็ลอกฝั่งนั้นไปเลย คือพูดง่ายๆ ว่า ในลำน้ำโขง ท่านผู้ชมจะเจอว่า สองฝั่งน้ำจะไม่เท่ากัน ฝั่งไทยน้ำจะแห้ง ฝั่งลาวน้ำจะลึก เพราะเขาขุดลอกแล้ว แล้วเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้ด้วย เพราะเขาขุดในพื้นที่ของเขา ตามสิทธิ์ของเขา นี่คือที่มาของที่ว่า ทำไมลำน้ำโขงถึงแห้ง เราโวยวายกันมาตลอดว่าทำไมน้ำโขงถึงแห้ง ที่ลำน้ำโขงแห้ง ก็เพราะว่าเราไปงี่เง่าเอง เดิมทีเขาจะขุดให้หมดเลย ขอให้เซ็นสัญญาร่วมกัน และทำร่วมกัน แล้วเขาก็จะปล่อยน้ำออกมาเพื่อไม่ให้น้ำขาด ปล่อยเพื่อให้เรือขนสินค้าหนัก 500 ตัน สามารถวิ่งได้


เรือ 500 ตัน ก็แสดงว่าความลึกของน้ำต้องลึกพอสมควร เรือถึงจะวิ่งได้ ถ้าความลึก น้ำลึกพอสมควรแล้ว ก็แสดงว่า หนึ่ง เขาต้องปล่อยน้ำให้เรือวิ่งได้ สอง เขาไม่ต้องการปล่อยน้ำให้น้ำท่วม นอกเสียจากว่าเกิดอุบัติเหตุทางธรรมชาติทางจีน แล้วจีนไม่มีทางเลือก จีนก็ต้องปล่อยน้ำออกมา แต่ตามปกติแล้วเขาจะไม่ทำให้ท่วม และเขาก็จะปล่อยน้ำให้เรือวิ่งได้ เรือถ้าวิ่งได้ แสดงว่าน้ำไม่แห้ง แต่น้ำฝั่งไทยแห้ง ก็เพราะว่าเราไม่ได้ร่วมมือกับเขา เขาก็เลยทำกัน ก็เลยกลายเป็นว่า ตอนนี้เรือโดยสาร เรือสินค้า ที่ล่องขึ้นจากลาว เขมร ไปที่ประเทศจีนทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็คือสิบสองปันนา เมืองเชียงรุ้ง ก็สามารถจะวิ่งในฝั่งลาวได้ แล้วเรือทางจีนก็ลงมาได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเขาทำแล้ว เราไม่ร่วม เพราะเราดันไปเชื่ออเมริกา เราดันไปเอาอเมริกามายุ่งในเรื่องของลำน้ำโขง ลุ่มแม่น้ำโขง-อเมริกา ซึ่งอย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า มาเสือกอะไร อยู่ถึงโน่น มายุ่งอะไรกับที่นี่ แล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแม่น้ำโขงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เพื่อต้องการบล็อกจีน ในที่สุด ไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทย ก็ตกเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกา ทำให้ลำน้ำโขงฝั่งไทยแห้ง แต่ฝั่งลาวมีเรือเดินได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่างานนี้ประเทศไทยเสียหมด

ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ สติลเวลล์ ของอเมริกา มาย้ำตอนเปิดประชุม Indo-Pacific Conference ภายใต้หัวข้อ "การเสริมสร้างการบริหารจัดการแม่น้ำข้ามพรมแดน" ผมไม่ยักรู้ว่าอเมริกาสนใจมากนะเรื่องแม่น้ำทางเอเชีย

เขาบอกว่าการร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-สหรัฐฯ (Mekong-U.S. Partnership) ซึ่งเพิ่งจะริเริ่มขึ้น และบทบาทของความร่วมมือดังกล่าวในการ "ยกระดับการมีส่วนร่วมของอเมริกาใน 5 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง" ยกระดับ แล้วคุณมายุ่งอะไร มันเป็นเรื่องของ 6 ประเทศนี้ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง


ผู้ช่วยฯ สติลเวลล์ ยังแสดงข้อกังวลของอเมริกาเกี่ยวข้องกับการควบคุมการไหลของแม่น้ำโขงโดยฝ่ายจีนแต่ฝ่ายเดียว รวมทั้งความจำเป็นในการแบ่งปันข้อมูลน้ำที่มีความครอบคลุม ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้เห็นด้วยกับผมไหม ท่านผู้ชมต้องติดตามข่าว และต้องวิเคราะห์ข่าว อย่าไปซี้ซั้วฟัง จีนปิดเขื่อน จีนเขาไม่ได้ปิดเขื่อน เขาเปิดอยู่แล้ว แต่ว่าฝั่งลาว และฝั่งเขมร ที่เขาขุดลอกนั้น น้ำเขาเต็ม แต่ฝั่งไทยไม่เต็ม ท่านผู้ชมอาจจะไม่เข้าใจ



สมมุติว่ามีคลองๆ หนึ่ง ตรงกลางคลองคือเส้นแบ่ง คลองนั้นต้องพึ่งพาน้ำซึ่งมีเขื่อนข้างหน้า คือแม่น้ำเจ้าพระยาต้องปล่อยเข้ามา แล้วตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าเราจะขุดคลองพร้อมกันหมดเลยทั้งสองฝั่ง ปรากฏว่าฝั่งบ้านเรา บอกไม่ได้ๆ ไม่ขุด ที่ผมไม่ขุดเพราะผมเลี้ยงปลาดุกเอาไว้ เดี๋ยวปลาดุกผมสูญพันธุ์ บ้านฝั่งโน้นก็บอกว่า ขุดเถอะ ฉันจะได้ใช้คลองเปิดตลาดน้ำได้ เขาก็เลยขุดคลองฝั่งโน้น เมื่อขุดคลองฝั่งโน้นแล้ว น้ำมันก็ไหลไปฝั่งโน้น ฝั่งของผมไม่มี น้ำมันแห้งแล้วไง นี่คือเหตุผลว่าทำไม ปรากฏว่าเรานั่งอยู่ฝั่งที่คลองแห้ง แต่ฝั่งคลองอีกด้านหนึ่ง ทำไมเรือมันวิ่งไปวิ่งมา ทำไมมันเปิดตลาดน้ำได้ ทำไมของเรามันมีแต่ดิน ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง


เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยอาการชักเข้าชักออก พูดไม่เป็นคำพูด หลอกให้เขาซื้อข้าวเราไป 2 ล้านตัน ยางอีก 2 แสนตัน แล้วเบี้ยวเขา เมื่อการสร้างความสมดุลทางอำนาจเหล่านี้เป็นคำตอบว่าเหตุใดช่วงหลังจีนถึงค่อนข้างจะมึนตึงกับประเทศไทย ไม่มีเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยมาเกือบปีแล้ว ล่าสุดคือความพยายามเดินสายในสไตล์หมากล้อมของนายหวัง อี้ หวัง อี้ ก็เลยมองว่าไม่สนใจแล้ว เดินหมากล้อมแล้ว เอาเขมร เอาลาว เอาพม่า เอามาเลเซีย ส่วนไทยจะไปกินแฮมเบอร์เกอร์กับนายทรัมป์ ก็เชิญตามสบาย เพราะฉะนั้นแล้ว เขาตั้งค่ายกลล้อมไทย ก็เพราะการกระทำของรัฐบาลประยุทธ์ ดูเหมือนว่าจะถือหางข้างประเทศอเมริกาอย่างโจ่งครึ่ม


ท่านผู้ชมครับ เล่ามาทั้งหมดนี้ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ท่านผู้ชมตามข้อมูลผมมาดีๆ แล้วท่านผู้ชมจะเห็นว่า มันเป็นของมันอย่างนี้แล


ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมอยากจะขอความกรุณาท่านผู้ชม ท่านผู้ชมจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม จะอยู่ฝ่ายรัฐบาล จะอยู่ฝ่ายม็อบนิสิต นักศึกษา หรือนักเรียน หรือจะไม่อยู่ฝ่ายใดก็ตาม ขอให้เปิดใจฟัง เปิดใจให้กว้าง อย่าเพิ่งไปยึดติดว่าฉันจะต้องอยู่ทางฝั่งนี้ ฉันจะต้องอยู่ทางฝั่งนั้น ฟังเหตุผลและตรรกะต่างๆ ที่ผมมาเล่าให้ฟังดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องราวต่างๆ ที่ต้องเล่าย้อนหลังกันพอสมควร ท่านผู้ชมถึงจะเข้าใจเหตุการณ์ในวันนี้ แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามถ้าท่านฟังแล้วท่านมีความรู้สึกว่า ไม่ใช่แล้ว เพราะว่าท่านมีอคติในใจ ท่านกำลังพลาดสิ่งที่ผมจะพยายามอธิบายให้ฟัง และในที่สุดบทสรุปมันจะจบลงด้วยว่า ทำไมผมถึงยืนยันว่า ผมอยู่ไม่เป็น เพราะว่าผมไม่มีที่พึ่งอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างมันจะต้องมีที่มาที่ไป ถือว่าผมมาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านผู้ชมฟังก็แล้วกัน เหมือนกับที่ผมตั้งฉายาของผมเองว่า "ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง"


ท่านผู้ชมครับ มีเรื่องหนึ่งก่อนที่ผมจะเข้าสู่สาระสำคัญ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่มีสาระสำคัญมาก เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม มันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ผมไม่สบายใจอย่างมากๆ และผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกัน การที่เราจะทำอะไรก็ตาม แล้วเราคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะหยุดยั้งฝ่ายตรงกันข้ามได้ มันต้องมีเงื่อนไข 2-3 ประการ ที่เราต้องยึดถืออยู่ ประการแรก สิ่งที่เราจะทำ สมมุติว่าเราจะออกไปต่อต้านเรื่องอะไรก็ตาม เราต้องออกด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และคนที่มาร่วมกับเราต้องเข้าใจว่าเขาต่อต้านด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เกณฑ์กันมา หรือไม่ใช่จงใจ จงใจเหตุผลก็เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งกำลังมาต่อต้านในเรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด และไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องมาปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จนกระทั่งถึงขั้นล้มล้างสถาบันกษัตริย์นั้น ความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้มันเริ่มจากความเข้าใจและความเห็นด้วย หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Perception คือเรื่องที่เชื่อกัน


การขจัดความเชื่อของคน เป็นเรื่องที่ยากมากๆ และในเวลาที่มันอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน การขจัดความเชื่อนั้น มักจะทำลำบาก เหตุผลเพราะว่ามันมีความเชื่อเป็นทุนสำรองอยู่แล้ว เมื่อมีความเชื่อเช่นนี้แล้ว พูดเท่าไรก็ไม่มีวันที่จะฟังและเข้าใจได้

ทำไมผมถึงบอกว่าวันที่ 21 ตุลาคม เหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นเรื่องที่ผมกังวลที่สุด ? และผมเสียใจมากๆ เพราะว่าผมเคยเจอกับตัวเองมาแล้ว ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับ หลายๆ ท่านเคยอยู่ร่วมในเหตุการณ์ ผมจัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" โดยที่ผมจัดครั้งแรกที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ แล้วย้ายมาอยู่ที่หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ รู้สึกว่าจะปลายปี 2548 แล้วก็ต่อไปที่สถานลีลาศ ที่สวนลุมพินี หลังจากนั้นแล้วก็ปักหลักอยู่ที่สวนลุมพินี ทุกๆ วันศุกร์ ที่ผมจัด แล้วปรากฏว่าในระหว่างที่จัดอยู่นั้น ท่านผู้ชมที่เคยร่วมรายการและไปฟังผมพูด ก็จะมีเป็นจำนวนมหาศาล ก็เรียกว่าเริ่มครั้งแรกก็ไม่มีที่นั่งแล้ว ข้างในหอประชุม แต่ต่อมาก็กระจายออกมา เต็มลาน กินเข้าไปเกือบเศษ 1 ส่วน 4 ของพื้นที่ของสวนลุมพินี ประชาชนนั่งอยู่ข้างนอกอาคาร นั่งอยู่ริมสระน้ำ นั่งฟัง ซึ่งเราโยงลำโพงและเราตั้งจอทีวีให้ดู


แล้วปรากฏว่าในยุคนั้น รัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตร ต้องการที่จะยุติการชุมนุมของประชาชนในขณะนั้นอย่างมาก วิธีการยุติในขณะนั้น ตอนนั้นยังไม่มีทีมเสื้อแดง ยังไม่มียุคคุณจตุพร พรหมพันธุ์ เกิดขึ้น มีเฉพาะรัฐมนตรีต่างๆ ของคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็น ขณะนั้น คุณเนวิน ชิดชอบ คุณยงยุทธ ติยะไพรัช แล้วก็มีเลขานุการส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตร ชื่อ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ และอีกหลายๆ คน


ในขณะนั้นทุกคนก็มองว่า มีวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งการชุมนุม ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ถึงขั้นการชุมนุมนะท่านผู้ชม เป็นการเข้ามาร่วมฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ผมเอาไปอธิบายให้ฟังว่า ทำไมผมถึงจะลุกขึ้นมาต่อต้านทักษิณ ชินวัตร เพราะว่าทักษิณ ชินวัตร ทำอะไรที่ผิด ทำอะไรที่ไม่โปร่งใส ทำอะไรที่ไม่เป็นที่ยอมรับ และทำอะไรที่ไม่ใช่เพื่อส่วนรวม แต่เพื่อญาติพี่น้องและพรรคพวกของคุณทักษิณ



ท่านผู้ชมคงจำได้ใช่ไหมครับว่า ในที่สุดแล้ว วิธีการที่คุณยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งคุมป่าไม้อยู่ ได้สั่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ แล้วไปพำนักอยู่ที่วัดธรรมกาย และวันรุ่งขึ้น ขณะที่จัดรายการอยู่ ก็มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวนไม่น้อยเลย บุกเข้ามาในพื้นที่ เข้ามาป่วน เหมือนกับจะมาปะทะกับประชาชนที่มาฟังรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" และในที่สุดก็มีการขว้างระเบิดยักษ์ขึ้นมา ทำให้มีคนบาดเจ็บ ท่านผู้ชมครับ จากวันนั้นเป็นต้นมา ผมตัดสินใจที่จะไม่จัดทำรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" แต่ผมเปลี่ยนจากการเป็นสื่อมวลชน มาเป็นผู้นำมวลชน ที่จะลุกขึ้นมา ระดมประชาชนทั่วประเทศเพื่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร และผมก็ชุมนุมเป็นครั้งแรกที่ลานพระบรมรูปม้า ค้างคืนเป็นครั้งแรก ผมยังจำได้ วันนั้นถ้าท่านผู้ชมอยู่ ท่านผู้ชมคงจะจำได้

ท่านผู้ชมครับ วันที่ 21 ตุลาคม เหตุการณ์คล้ายๆ กัน ถึงแม้ว่านิสิต นักศึกษา นักเรียนทุกคนจะมาร่วมกันชุมนุม แล้วก็ไล่ลุงตู่ ต่อต้านรัฐบาลหลายอย่าง แต่การที่เริ่มมีคนใส่เสื้อเหลืองขนกันมา แล้วก็มีภาพเห็นชัดเลยว่า รถทหารขนนักเรียนโรงเรียนนายสิบ และโรงเรียนนายร้อย หัวเกรียน ใส่เสื้อเหลืองมา แล้วก็มีคนซึ่งเป็นคนสนิทของรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นคุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เข้ามา แล้วก็มาป่วนในที่ทำการ ถึงกับทะเลาะวิวาทกัน และเป็นเหตุให้เด็กผู้หญิงขาหัก เหตุผลเพราะว่าโดนทุ่มด้วยลำโพง แล้วก็แตกกระจายกันไปหมด ท่านผู้ชมครับ วิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด ทำไมถึงเป็นวิธีที่ผิด ? เชื่อผมสิครับ ใครก็ตามที่เป็นต้นคิดเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นคนที่ใช้สมองหมาปัญญาควายคิด


เหมือนกัน วันที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้มาป่วนที่สวนลุมพินี แล้วต่อมาผมชุมนุมที่ลานพระรูปทรงม้า วันแรกมีคนมาเต็มไปหมดเลย มาให้กำลังใจ มาเพราะไม่พอใจที่โดนรังแก คือผมโดนรังแก ประชาชนโดนรังแก แล้วหลังจากนั้นพอเราเริ่มจัดขบวนขึ้นมา และเริ่มมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราก็โดนป่วนตลอด เพียงแต่ว่าเราไม่ได้โดนป่วนแบบธรรมดาเหมือนอย่างที่เด็กๆ โดนกัน เราโดนทั้งลูกปืน เราโดนทั้งลูกระเบิด M79 เราโดนทั้งกลุ่มเสื้อแดงที่นำขบวนแล้วถือมีดอีโต้ไล่ฟันกัน เราโดนทั้งมีมอเตอร์ไซค์ขับผ่านที่ชุมนุมแล้วยิงปืนใส่เรา ซึ่งร้ายแรงกว่านี้ตอนนี้เยอะ แต่ประเด็นมีอยู่อย่างนี้ครับท่านผู้ชม การเอาความรุนแรงเพื่อไปปราบความรุนแรงนั้น ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และคนที่คิดสิ่งนี้ จะแพ้ในที่สุด ผมกล้าพนันเลยว่าแพ้

ผมเสียใจมากที่ทางรัฐบาลคิดอะไรไม่ออก แล้วก็พยายามที่จะเอาคนออกมา เขาเรียกว่า ม็อบชนม็อบ ซึ่งสมัยก่อนก็มีการห้ามกันเอาไว้แล้ว แต่เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม นั้น ไม่ปรากฏตรงนี้ขึ้นมา ปรากฏว่ามีการรับทราบ รับรู้ เห็นด้วย และแอบสนับสนุนโดยคนที่มีอำนาจในรัฐบาล


นอกจากนั้นแล้ว หลายต่อหลายแห่งตามจังหวัดต่างๆ มีประชาชนออกมาเพื่อสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ ไม่ผิด ถูกต้อง แต่ถ้าออกมาด้วยพลังของประชาชน พลังของชุมชน ไม่เสียหาย แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นคำสั่งให้มีการจัดตั้งแบบนี้ ประชาชนออกมา จริงๆ แล้วลึกๆ จะไม่มีพลัง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมกลุ่มนิสิต นักศึกษา และเด็กมัธยม ถึงมีพลัง และถึงถูกหลอกใช้ได้ง่าย นี่ผมพูดนะ ถูกหลอกใช้ได้ง่าย เพราะคนพวกนี้จิตบริสุทธิ์ เขาเชื่อในสิ่งที่เขากำลังออกมาต่อสู้ ซึ่งมันก็เข้าทางคนที่บงการอยู่ข้างหลัง และเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าวิธีบงการ บงการอย่างไรบ้าง ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง


ผมมีหลักฐานพิสูจน์ให้ท่านผู้ชมเห็น ท่านผู้ชม เดี๋ยวผมจะให้ดู นี่คือหนังสือ ตัวอย่าง เพื่อที่จะระดมคน "ทั้งนี้ สำนักงานเลขานุการกรมได้จัดรถรับ-ส่ง โดยออกจากกรมสิกรรม เวลา 06.30 น." นี่ก็เป็นอีกอันหนึ่ง


"กลุ่มบริหารกิจการนักเรียน โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย


สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยสำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้กำหนดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย กลุ่มบริหารกิจการนักเรียนขอความอนุเคราะห์ครูที่ปรึกษาทุกระดับชั้น ส่งรายชื่อนักเรียนห้องละ 2 คน (ไม่แยกห้อง ก และข ) ภายในวันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 และให้นักเรียนมาเข้าร่วมกิจกรรมในวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 เวลา 12.30-16.00 น. ณ หอประชุมพิบูลสงคราม"


"ขอเชิญร่วมกิจกรรม 22 ตุลาคม รวมพลคนเทพา ปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์"


"จำนวนผู้ร่วมกิจกรรมรวมพลคนจะนะปกป้องสถาบัน อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา รวมทั้งสิ้น 819 คน ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำบลละ 20 คน 14 ตำบล นักเรียน/เยาวชนโรงเรียนบ้านนา บัณฑิตอาสาพัฒนามาตุภูมิ สมาชิก อสม. ผู้นำศาสนา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น"


นี่เป็นตัวอย่างเฉยๆ ให้เห็นว่าอำนาจรัฐได้เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ ถามว่าผิดไหม ? ไม่ผิด แต่ผมจะพูดอะไรอย่างหนึ่งนะ ฝ่ายที่ต่อต้านม็อบนิสิต นักศึกษา อย่าโกรธผม คุณไม่มีพลังเลยแม้แต่นิดเดียว พลังที่บริสุทธิ์ คุณหาได้ไหม คนที่เต็มใจออกมาโดยที่ไม่ต้องไปเกณฑ์ คุณมีไหม สิ่งนี้คือสิ่งที่คุณแพ้เขาตั้งแต่ยกแรกแล้ว ผมไม่กล้าก้าวล่วงไปบอกว่า อาจจะเป็นเพราะว่ากลุ่มคนที่จะมานำนั้น ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ คุณยังหาคนที่มีพลังจริงๆ ไม่ได้ แล้วคนที่มีพลังจริงๆ ต้องไม่มีผลประโยชน์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว


คุณไปดูคนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มเสื้อเหลือง แต่ละคนมีผลประโยชน์ทั้งสิ้น ถ้าคนที่ออกมาสู้แล้วไม่หวังอะไร แต่สู้ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูก และเป็นสิ่งที่ควรจะสู้ ผมเชื่อว่าการสู้เพื่อสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นสิ่งที่คนเห็นด้วย แต่ทำอย่างไรจะจุดตรงนี้ให้ติด พวกคุณยังจุดไม่ติด เมื่อจุดไม่ติดแล้ว ก็ใช้วิธีการที่ค่อนข้าง (ขอประทานโทษ) เลวทรามต่ำช้า ใช้วิธีใช้แรง ความรุนแรงไม่เคยแก้ปัญหาได้ แล้วคนที่ใช้ความรุนแรงคนแรกจะต้องเป็นคนที่แพ้ในที่สุด ประวัติศาสตร์บอกเช่นนี้มา เชื่อผมสิครับ 100 เปอร์เซ็นต์ ในที่สุดต้องแพ้ ปรากฏว่าตอนนี้คนที่ถูกโจมตี นักเรียนโรงเรียนมัธยม ผมเห็นในคลิปแล้ว สะพายแป้วิ่งหนีกัน ใส่กระโปรง เรียนโรงเรียนมัธยม วิ่งหนี ร้องวี้ดว้ายกัน ตกอกตกใจ แต่หลังจากร้องวี้ดว้ายแล้ว พอตั้งสติได้ ทุกอย่างสงบแล้ว จะบังเกิดความโกรธ โกรธแค้นอย่างมหาศาล อย่างชนิดที่เรียกว่าคุณห้ามเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และพวกนี้ก็ไม่กลัวแล้ว จะไม่กลัว เหมือนกับที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเหมือนที่ประกาศจับเขาไปดำเนินคดี จับขังคุก เขาก็ยอมถูกจับไป พวกแกนนำ วันนี้ไม่มีความกลัวอีกต่อไปแล้ว ผมประท้วงมาก่อน ผมรู้ดีว่าพอเลือดเข้าตาแล้ว คุณจะมาอ้างว่าทำผิดกฎหมาย ผิด พ.ร.ก. ไม่มีใครฟังหรอกวันนั้น เรื่องข้างหน้าค่อยให้เป็นเรื่องข้างหน้าอีกที วันนี้ไม่มีใครฟังแล้ว เพราะฉะนั้น ผมจะเรียนให้ทราบว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุด


แล้วหลายๆ คนใส่เสื้อเหลืองมา ก็อ้างว่าเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ท่านผู้ชมครับ พันธมิตรฯ ที่แท้จริงใช้สติคิด พันธมิตรฯ ที่แท้จริง ที่มีพลัง และที่มีหลักการจริงๆ ยังไม่มีใครออกมานะครับ นั่งดูเหตุการณ์ ที่ออกมากัน ใส่เสื้อเหลืองนั้น กปปส. ผมไม่อยากจะพูด แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ใส่เสื้อเหลือง แอบมาแล้วตะโกนบอกว่า พันธมิตรฯ มาแล้ว ไม่ได้มาครับ กปปส. ผมไม่รู้ ผมอาจจะพูดแทนไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด ในฐานะที่ผมเป็นอดีตแกนนำพันธมิตรฯ ผมรู้ ว่าวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลเป็นวิธีการที่ผิดพลาดหมด นี่ผมพูดอย่างเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร ท่านที่ไม่ชอบนักศึกษา อาจจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม แต่ฟังผมเล่าให้จบสักนิดหนึ่ง

ผมจะเล่าที่มาที่ไปของฝั่งหนึ่งให้ฟังเสียก่อน แล้วผมก็จะเล่าที่มาที่ไปของอีกฝั่งหนึ่งให้ฟัง ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นลักษณะฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน จริงๆ ท่านผู้ชม แล้วอีกอย่างหนึ่ง เราเคยดูเรื่องของฮ่องกง จำได้ไหมท่านผู้ชม เรื่องของฮ่องกงว่า นี่มันเป็นโมเดลฮ่องกงใช่หรือเปล่า เดี๋ยวผมจะเอารูปๆ หนึ่งให้ดูก่อน นี่ผมกระโดดข้ามไปข้ามมานะ แล้วผมจะกลับมาหาเรื่องที่สำคัญที่สุด ท่านผู้ชมดูให้ดีๆ


ท่านผู้ชมจะเห็นว่าลักษณะเหมือนกันเลย ตำรวจยืนอยู่ตรงนี้ คนเข้าไปคุกเข่าขอให้ตำรวจปราณี เหมือนกัน เมืองไทย นี่คือชุมนุมที่ฮ่องกง ประเทศไทยโดนฉีดน้ำ เหมือนกัน นี่ชู 4-5 นิ้ว ประเทศไทยชู 3 นิ้ว โจชัว หว่อง ไปอยู่กับเจ้าหน้าที่อเมริกา เพนกวิน อยู่กับทูตอเมริกา สไตล์เดียวกันหมด ไม่ต่างอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผมมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่างานนี้ทั้งหมดเป็นงานของอเมริกาอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอนที่สุดในขณะนี้


ท่านผู้ชมครับ แล้วมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? ก่อนที่ผมจะพูดถึงว่าแล้วมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผมจะเล่าเรื่องในอดีตบางเรื่องที่ท่านผู้ชมหลายท่านไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ


หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สักพักหนึ่ง ประเทศไทยกลายเป็นประเทศสุดท้ายในสายตาของสหรัฐอเมริกาที่อ้างตัวเองว่าเป็นผู้นำโลกเสรี มองว่าประเทศไทยกำลังจะล่มสลาย ถูกคอมมิวนิสต์กลืนเข้าไป โดยที่ประเทศไทยจะเป็นโดมิโนตัวสุดท้าย คือทุกตัวล้มหมดแล้ว ถ้าประเทศไทยล้มอีก ก็จะล้มหมดเลย ประเทศไทยล้มก็จะไปที่มาเลเซีย มาเลเซียล้ม ก็จะไปที่สิงคโปร์ ไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกา กระทรวงกลาโหมของอเมริกา CIA ของอเมริกา รวมทั้งทหารในเมืองไทย ก็จับมือร่วมกันเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพราะขณะนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่อยู่ในประเทศไทย เกิดขึ้นมานั้น กำลังเจริญเติบโต


ทำไมพรรคคอมมิวนิสต์เจริญเติบโต ? พรรคคอมมิวนิสต์เจริญเติบโตเพราะว่า ในขณะนั้นประชาชนยากจน ลำบาก คนที่อยู่ตามภูมิภาคนั้นถูกข้าราชการประจำรังแก และถูกข้าราชการประจำซึ่งร่วมมือกับนายทุนท้องถิ่นรังแก ชาวนาถูกรังแก ราคาข้าวถูกกดดัน ถูกเรียกดอกเบี้ยเงินกู้สูงๆ ผลิตข้าวออกมา 1 ไร่ 2 ไร่ 3 ไร่ 4 ไร่ จ่ายหนี้สินคืนหมด อาจจะไม่เหลือแม้กระทั่งข้าวส่วนตัวสำหรับไว้กินทั้งปี ก็ต้องไปกู้ต่อๆ แล้วก็มีปัญหาทีไร คนมีเงิน คนมีอำนาจ คนมีอิทธิพลในท้องถิ่น จะเป็นคนที่ชนะตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว คอมมิวนิสต์เข้ามาบนพื้นฐานของความเป็นธรรม เมื่อบนพื้นฐานของความเป็นธรรมแล้ว คอมมิวนิสต์ก็จะตั้งเป้าที่จะปราบปรามข้าราชการฉ้อฉล ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นกัน ปรากฏว่าคนที่เข้ามาร่วมกับคอมมิวนิสต์ กระจายไปหมด 47 จังหวัดทั่วประเทศไทย มีพรรคคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น และในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ก็ประกาศให้จับอาวุธสู้กับทหารของไทย

ท่านผู้ชมครับ ในยุคนั้น นิสิต นักศึกษา ยังไม่มีความรู้ทางการเมืองมากนัก อาจจะมีอยู่เป็นคนบางคนเท่านั้น แต่คนบางคนนั้นก็ได้สร้างตำนานทางประวัติศาสตร์ขึ้นมา เป็นที่กล่าวขานกัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่สิ้นสุด ผมยกตัวอย่างให้คนหนึ่ง คือคุณจิตร ภูมิศักดิ์


จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จิตร ภูมิศักดิ์ มีความคิดลักษณะคล้ายๆ กับเนติวิทย์ ก็คือไม่ยอมรับระบบ ระบบ SOTUS ระบบ Senior รับน้องใหม่ จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่ยอมรับ จนกระทั่งจิตร ภูมิศักดิ์ โดนจับโยนบก แล้วในที่สุด จิตร ภูมิศักดิ์ ก็หนีเข้าป่าไป และก็ไปเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ยังไม่นับถึงนายผี อัสนี พลจันทร ซึ่งอดีตเป็นอัยการ แต่เป็นอัยการที่ซื่อสัตย์ และไม่สามารถทำอะไรกับระบบที่มันเน่าเฟะได้ ซึ่งระบบที่เน่าเฟะของสมัยนั้น มันก็ต่อเนื่องมาจนถึงระบบที่เน่าเฟะสมัยนี้ โดยไม่มีใครแก้ไข เปลี่ยนแปลงอะไร

ท่านผู้ชมที่เป็นรุ่นเก่าๆ จำ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ใช่ไหม ท่านผู้ชมจำเรื่องนี้ได้ไหม "เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน" จิตร ภูมิศักดิ์ แต่งเพลงนี้เพื่อให้ชาวนาที่ยากจน และไม่ได้รับการเหลียวแล ตำนานของจิตร ภูมิศักดิ์ เพลง "เดือนเพ็ญ" ท่านผู้ชมคงได้เคยฟังมาแล้ว เพลงนี้่แต่งโดยคุณอัสนี พลจันทร แล้วคุณอัสนี แต่งโดยที่คิดถึงบ้าน อยากกลับมาหาแม่ เข้ามาซบอกแม่ เป็นเพลงที่กินใจมาก แต่น่าเสียดายที่คนรุ่นหลังบางคนไม่รู้ประวัติศาสตร์ของเพลงนี้


ศิลปะของคนที่ต่อต้านรัฐบาลในยุคนั้น เป็นศิลปะที่สูงส่ง "เดือนเพ็ญ" น่าเสียดาย กลับโดนคนรุ่นหลังที่ไม่เข้าใจประวัติและตำนานของเพลง เอาเพลง "เดือนเพ็ญ" มาเป็นเพลงจีบสาว ซึ่งไม่ใช่ เป็นเพลงของคนที่กลับมาบ้านไม่ได้ เพราะถ้ากลับมาจะถูกจับ เนื่องจากต่อต้านระบบ ทีนี้เด็กพวกนี้ ณ วันนี้ ก็มาต่อต้านระบบซึ่งมีมาอยู่นานแล้ว ซึ่งหลายๆ อย่างในระบบนี้ ผมก็เห็นด้วยว่ามันควรจะเปลี่ยนแปลง ต่างอยู่ข้อเดียวที่ผมไม่เห็นด้วย ก็คือว่า ความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ยังคงมีอยู่ จำเป็นที่จะต้องมีอยู่ สำหรับผมแล้ว สถาบันกษัตริย์เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่อย่างน้อยที่สุด สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์รวมของจิตใจ

ท่านผู้ชมครับ กลับมาถึงหลายสิบปีที่ผ่านมา คอมมิวนิสต์อยู่ 47 จังหวัด ก็ปรากฏว่าจับปืนสู้กับทหาร ทหารตายไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปงานพระราชทานเพลิงศพให้ทหาร ปีหนึ่ง 1,400 กว่าศพ ทุกปี เมื่อทุกปีเกิดขึ้นอย่างนี้มาแล้ว ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ไปถึง 1,400 ครั้งนะครับ แต่มีการฌาปนกิจศพหมู่ทีละ 100 คนบ้าง 50 คนบ้าง พระองค์ท่านทรงวิตกกังวล พระองค์ท่านเรียก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เข้ามาพบ แล้วพระองค์ท่านถามว่า "เราตั้งโจทย์ผิดหรือเปล่า ?" โจทย์ที่พระองค์ท่านหมายถึงว่า เรามุ่งมั่นแต่การปราบปรามใช่ไหม เหมือนกับวันนี้ เรามุ่งมั่นแต่การปราบปรามใช่ไหม เอากฎหมายเข้าว่าๆ พระองค์ท่านก็ถามว่า ไปคิดใหม่ซิว่าโจทย์ใหม่น่าจะเป็นอย่างไร เพราะยิ่งปราบยิ่งมากขึ้นๆ เหมือนกับทุกวันนี้เป๊ะเลย ยิ่งดำเนินการเอากฎหมายเข้าล่อ ยิ่งมากขึ้นๆ จนในที่สุด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ไปคิดสูตรออกมา เป็นสูตร 66/23 ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9


66/23 ก็คือว่า พระองค์ท่านบอกว่า ลองดูซิว่าเราจะปรองดองและอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้อย่างไร ท่านผู้ชมครับ สมัยก่อนคอมมิวนิสต์ไม่ใช่แค่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์นะ ถึงกับต้องการจะฆ่ากษัตริย์ด้วยเสียด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายคอมมิวนิสต์ชัดเจน ไม่ต้องมีกษัตริย์ ยิ่งกว่าสมัยนี้อีก แต่ในที่สุด ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ในที่สุดแล้ว สังเกตอย่าง จากคนที่ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์สมัยก่อน สมัยก่อนถ้าเป็นเครื่องบิน เช่น เฮลิคอปเตอร์ ราชพาหนะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ประทับเฮลิคอปเตอร์ไป จะมีคำสั่งจากพวกคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย แล้วคนที่สั่งคือเสนาธิการใหญ่ของกองทัพปลดแอก ของคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ท่านผู้ชมทายสิว่าใคร ? คือบิดาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเป็นประธานองคมนตรีวันนี้ ท่านสั่งเอาไว้เลยว่า ถ้าเป็นเครื่องบินราชพาหนะ ไม่ให้ยิง แสดงว่าพวกคอมมิวนิสต์ลึกๆ ก็ยังรักพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าทราบดีว่าพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านปกป้องประชาชน และพระองค์ท่านคิดถึงประชาชนทุกคน ถึงแม้ว่าจะมีความเห็นต่างกัน เป็นประชาชนของพระองค์ท่านทั้งหมด และทำให้พระองค์ท่านคิดว่า "เราตั้งโจทย์ผิดหรือเปล่า ?" ทำไมเราไม่มองข้ามทุกเรื่องแล้วเรามาถามว่าต้องการอะไร มาคุยกัน แล้วอยู่กันอย่างสันติ


ในที่สุด เมื่อนโยบาย 66/23 ออกมา 2523 สี่สิบปีที่แล้ว เมื่อออกมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีการนิรโทษกรรม ไม่สืบสาวเอาเรื่องเก่าๆ ออกมา กลับมาใช้ชีวิตแบบประชาชนคนไทยตามปกติธรรมดา พระองค์ท่านพระราชทานที่ทำกิน พระองค์ท่านพระราชทานเงินก้อนหนึ่ง แล้วก็ให้อยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ แม้กระทั่งคอมมิวนิสต์ทางภาคใต้ก็ยังมีหมู่บ้านจุฬาภรณ์ 1-15 หมู่บ้านโน่นนี่นั่น 1-15 คนพวกนี้คืออดีตศัตรูของราชอาณาจักรไทย แต่วันนี้กลับมาเป็นคนไทยเต็มตัว เหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จฯ ไปสกลนคร และมีภาพว่าพระองค์ท่านนั่งสนทนากับบรรดาอดีตคอมมิวนิสต์เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ และวันนี้กลับมาเป็นคนไทย นี่คือสัญญาณอะไรบางอย่างที่ได้ส่งออกมา


อ๋อ แน่นอนที่สุด สัญญาณอันนี้ไม่ได้แปลว่าเด็กสมัยใหม่ เด็กที่ไม่มีราก จะยอมรับ หรือจะเข้าใจ เพราะว่าเด็กสมัยนี้กลายเป็นว่า พ่อแม่มีหน้าที่ให้เกิด เมื่อทำให้เกิดแล้วก็ต้องเลี้ยงไป เป็นหน้าที่ ส่วนฉันจะคิดอย่างไร ฉันจะไม่สนใจ ฉันจะเรียกโน่นเรียกนี่ ฉันจะไม่เคารพพ่อแม่ ไม่เคารพใคร เป็นเรื่องของฉัน แต่ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมตามผมมานิดหนึ่ง ผมจะเล่าเรื่องบางเรื่องให้ท่านผู้ชมฟัง


เรื่องบางเรื่องมันเกิดเหตุ มันเกิดเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วเรื่องที่เกิดเหตุครั้งนี้มันเกิดเหตุเพราะว่าผู้มีอำนาจใน คสช. ต้องการจะต่อยอดอำนาจ ท่านผู้ชมเคยฟังผมพูดแล้วหลายครั้ง ในการยึดอำนาจเมื่อปี 2557 บนข้ออ้างที่ว่า ป้องกันไม่ให้มีการนองเลือด ตรงนั้นท่านผู้ชมจำที่ผมพูดได้ไหม ผมบอกว่า วันนั้นถ้าปฏิวัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถวายอำนาจที่ได้ปฏิวัติคืนให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วตัวเองถอยเข้ากรม กอง เหมือนเดิม รัชกาลที่ 9 ก็สามารถที่จะตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมา ที่พระองค์ท่านพิจารณาแล้ว หาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อมาร่างกติกา รัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมา แต่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ กลับมองว่าประเทศไทยมีความจำเป็นจะต้องมีศูนย์รวมอำนาจอยู่ตรงกลาง และใช้อำนาจเด็ดขาด ก็คือมาตรา 44 เพื่อแก้ไขปัญหาหลายๆ อย่าง

ท่านผู้ชมจำได้ไหมระยะแรกสุด ที่บอกว่าแก้ไขปัญหาที่จะเอาอกเอาใจประชาชนทั่วประเทศก็คือ ล็อตเตอรี่ต้องไม่เกิน 80 บาท ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า ตามผมมาสิ แล้ววันนี้ท่านผู้ชมก็รู้ว่าคำพูดนั้นเป็นคำพูดที่โกหกพกลม เพราะวันนี้ล็อตเตอรี่จะไม่ต่ำกว่า 120 บาท แล้วส่วนต่างต้นทุนล็อตเตอรี่ที่ซื้อมา กับอีก 40-50 บาทนั้น เข้ากระเป๋าใครบ้าง ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง


หลังจากนั้นแล้วก็มีนโยบายต่างๆ ออกมา ความจริงแล้วเป็นความคิดที่ไม่เลว เพราะผมเข้าใจว่า คสช.ตอนนั้นมีคนขายความคิดว่า ดูประเทศจีนสิ ประเทศจีนเป็นประเทศที่เผด็จการ ไม่ให้สิทธิเสรีภาพประชาชนในเรื่องทางการเมือง ให้ทำมาหากิน ใครลุกขึ้นมาโวยวาย จับเข้าคุก ใครวิพากษ์วิจารณ๋ทางสื่อมวลชน ปิดวิทยุ ปิดโทรทัศน์ ปิดหนังสือพิมพ์ ใครเป็นโปรเฟสเซอร์ออกมาแล้ววิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี หรือพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ถูกดำเนินคดีไปหมด แต่ทำไมประเทศจีนถึงเจริญก้าวหน้ามาก

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แค่มาถึงยุคเติ้ง เสี่ยวผิง แค่นั้นเอง จากระยะทางจากเติ้ง เสี่ยวผิง มาจนถึงสี จิ้นผิง ประมาณแค่ 30 ปีเองมั้ง 30 ปี ทำไมประเทศจีนถึงโตเอาๆ อ้อ ก็เลยคิดออก คิดออกว่าอย่างไร ? คิดออกว่า เพราะมันมีอำนาจรวมศูนย์ แต่ท่านผู้ชมครับ เมืองไทยมันไม่มีสี จิ้นผิง


ท่านผู้ชมครับ ประเทศจีนเป็นประเทศที่บ่มเพาะผู้นำของเขามาตั้งแต่หนุ่มแน่น สี จิ้นผิง กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เขาต้องทำงานในฟาร์ม หลังจากนั้นแล้วเขาก็เป็นเจ้าหน้าที่อำเภอ หลังจากนั้นแล้วเขาก็เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ จากนายกเทศมนตรีเมืองเล็กๆ ไปเป็นรองผู้ว่ามณฑล มณฑลเล็กๆ จากผู้ว่าฯ มณฑลเล็กๆ เขาขึ้นไปเป็นเลขาธิการพรรคมณฑลใหญ่หน่อย พัฒนาไปเรื่อยๆ คือว่ากว่าสี จิ้นผิง จะมาเป็นสี จิ้นผิง ในวันนี้ เขาได้เห็นความยากจนของคนจีน เขาได้เห็นความใช้ไม่ได้ของข้าราชการประเทศจีน เขาได้เห็นถึงความโลภของนักธุรกิจที่ร่วมมือกับข้าราชการ เพราะฉะนั้นแล้ว ของพวกนี้มันสะสมอยู่ในสมองของเขา มันทำให้เขามีความรู้สึกว่า วันหนึ่งถ้าเขาได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ใน Politburo คณะกรรมการกลางพรรค และได้เลือกเป็นผู้นำจีน เขาจะต้องแก้ไขปัญหาประเทศ ที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่สี จิ้นผิง คนเดียว หู จิ่นเทา ก่อน สี จิ้นผิง ก็เป็นคนประเภทนี้ ทำงานมาตลอด หู จิ่นเทา เคยไปทำงานเป็นผู้ว่ามณฑลทิเบต ไปพัฒนา ปรับปรุงมณฑลทิเบต สี จิ้นผิง เป็นคนเกิดที่ส่านซี หลายอย่างเขาเจริญเติบโตมา ก่อน หู จิ่นเทา ก็คือเจียง เจ๋อหมิน


เจียง เจ๋อหมิน มาจากไหน ? เจียง เจ๋อหมิน ก็คือเป็นวิศวกรประจำโรงงานที่เซี่ยงไฮ้ ทำงานกับพนักงาน ทำงานกับแรงงานต่างๆ รู้ทางด้านการจัดการ การบริหารโรงงาน เขาก็เจริญเติบโตมาจนกระทั่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเซี่ยงไฮ้ แล้วก็โตต่อไปเรื่อยๆ ไปใหญ่เอาเป็นกรรมการกลางพรรคที่ปักกิ่ง ก่อนหน้านั้นผู้นำจีนทุกคนก็จะผ่านอย่างนี้หมด แต่เมืองไทยผู้นำไม่มี ไม่เคยมีใครผ่านงานที่ต้องทำงานกับมวลชน ทำงานแบบตีนติดดิน ทำงานแบบเข้าใจปัญหาชาวไร่ ชาวนา ไม่ใช่ไปเข้าใจปัญหาบนสนามกอล์ฟ ตีกอล์ฟกับเศรษฐี หรือว่าแลกเปลี่ยน วิ่งเต้น แล้วก็เอาตำแหน่งแห่งที่ด้วยการเล่นกอล์ฟแล้วเอาเงินเอาทองยัดใส่ ไม่มีนะท่านผู้ชม และนี่คือข้อแตกต่างของจีนกับไทย เพราะฉะนั้นแล้ว ใครก็ตามที่มองในยุคที่ คสช.เข้ามามีอำนาจ แล้วบอกว่าท่าน ท่านต้องเอาแบบจีน ประเทศถึงจะเจริญ จากวันนั้นถึงวันนี้ มีอะไรเจริญบ้าง ? มีแต่คนรวย รวยขึ้นเรื่อยๆ คนจน จนลงกว่าแต่เก่า คนชนชั้นกลาง กำลังกลายเป็นคนจนไปแล้วส่วนหนึ่ง และกำลังจะกลายเป็นคนจนมากขึ้น

การศึกษา ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ปัญหาต่างๆ ของชาติบ้านเมือง ปัญหาเรื่องการศึกษา ความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กบ้านนอกและของเด็กในกรุง ต่างกันอย่างมหาศาล เด็กทุกคนแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องให้พ่อแม่เสียเงินเสียทองเพื่อจ่ายค่าเรียนพิเศษ เพื่อที่ตัวเองจะได้เรียนทันเพื่อนๆ ได้ ของพวกนี้ไม่ได้รับแก้ไขอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มีอยู่อย่างเดียวที่เป็นแสงสว่าง ก็คือโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เพราะว่างานที่พระองค์ท่านทำนั้น ทำให้คนจนสัมผัสได้ เหมือนกับเด็กรุ่นหลัง เด็กที่ประท้วงบางคนปากเสีย มาว่าท่าน อย่างเช่น โครงการปลานิล ทำไปทำไม อ้าว ทุกวันนี้คนไทยกินปลานิลกี่คนแล้ว แล้วจุดเริ่มต้นของปลานิล มาจากใคร ? ก็มาจากรัชกาลที่ 9 ฉะนั้นเด็กรุ่นใหม่ไม่มีราก


ฝายน้ำ หญ้าแฝก พวกคุณรู้หรือเปล่าที่คุณประท้วงกัน หญ้าแฝกที่มันปลูกตรงริมฝั่งตลิ่ง จะทำให้ตลิ่งไม่พังทลายลงมา หญ้าแฝกใครคิด ? ก็คือโครงการพระราชดำริคิด โครงการลุ่มแม่น้ำปากพนัง ก็ได้มาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 หลายๆ โครงการ รัชกาลที่ 10 ก็ดำเนินการต่อ เป็นเพียงแต่พระองค์ท่านไม่ได้ออกไปต่างจังหวัด พระองค์ท่านให้องคมนตรีไป ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง


เพราะฉะนั้น เมื่อ คสช.เข้ามา แล้วได้รับกระบวนทัศน์ คอนเซปต์ที่ผิด คอนเซปต์น่ะถูก แต่ว่าเมืองไทยมันหา สี จิ้นผิง ไม่เจอ หา หู จิ่นเทา ไม่เจอ หา เจียง เจ๋อหมิน ไม่เจอ เจอแต่พลเอก เจอแต่นักการเมืองเขี้ยวลากดิน เจอแต่คนที่เข้ามาเพื่อแลกผลประโยชน์ เจอแต่คนที่ดูการเมืองหรือระบอบประชาธิปไตย อย่างเช่น ทักษิณ ชินวัตร เพื่อประโยชน์ตัวเอง เพื่อประโยชน์ครอบครัว คือพูดง่ายๆ ว่า เอาเงินทุ่มไปในสังคม สังคมมีดีกินดีอยู่ดี กูขอรวยด้วย แต่กูรวยมากหน่อยนะ น้องสาวก็รวยด้วย น้องชายก็รวยด้วย ลูกก็รวยด้วย ญาติก็รวยด้วย รัฐมนตรีทั้งหลายก็รวยด้วย ตรงนี้ต่างหาก


เมื่อเข้ามาแล้ว ปรากฏว่าถึงเวลาแล้ว ความกดดันของสังคมยิ่งวันยิ่งมากขึ้น อุปมาอุปไมยเหมือนเวลาทหาร หรือ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนอยู่ แล้วจู่ๆ ก็มีความกดดัน ความกดดันนี่ไม่มาก อาจจะเป็นแค่ถุงพลาสติกบางๆ แตะไว้บนบ่า ปีต่อมาก็มีถุงพลาสติกปะต่อๆ จนกระทั่งน้ำหนักของถุงพลาสติก บางครั้งพอถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว มันหนักจนกระทั่งหลังแทบหัก ก็เลยจำเป็นที่จะต้องให้มีการเลือกตั้ง แต่ถ้าการให้มีการเลือกตั้งนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานจิตใจที่บริสุทธิ์ ว่าเอาล่ะ ถ้ามีการเลือกตั้งแล้ว เราต้องจัดการเลือกตั้ง ร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นธรรมขึ้นมา ที่ยุติธรรมขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นแล้วมันมีเหตุผลในการที่จะให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่เพราะว่าความอยากจะสืบทอดอำนาจตลอดเวลา ก็เลยต้องออกแบบรัฐธรรมนูญที่มันวิบัติ ที่ภาษาคนจีนเขาเรียกว่า โหลยโท่ย

รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่โหลยโท่ยที่สุด และคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ท่านผู้ชมอย่าลืมคนที่ชื่อ มีชัย ฤชุพันธุ์


ลืมไม่ได้เด็ดขาดคนๆ นี้ คนๆ นี้่ต้องจบชีวิตลงในประวัติศาสตร์ที่ต้องทำให้รัฐธรรมนูญนี้ คือรัฐธรรมนูญที่เขาร่าง และเขาเองก็ยอมรับว่าเขาร่างเพราะเขาถูกสั่งมาให้ร่างแบบนี้ ก็แน่นอนที่สุดว่าเป็น คสช.สั่งมาให้ร่าง เพราะว่าก่อนหน้านี้ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นคนร่างรัฐธรรมนูญ และคณะ 24-26 คน พอร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏว่า คสช.ไม่เห็นชอบด้วย เพราะว่าไม่ได้เปิดช่องทางให้คนใน คสช.ได้สืบทอดอำนาจ เมื่อเขาไม่เปิดช่องทางให้ ก็เลยไม่ผ่านให้ ก็เอาคณะคนๆ หนึ่งซึ่งอยู่ในคณะกรรมการ คสช. ซึ่งมีอยู่ 10 คน 8 คนเป็นทหาร เป็นตำรวจ 1 และพลเรือน 1 ก็คือ มีชัย ฤชุพันธุ์ เพราะฉะนั้น มีชัย ก็เลยต้องร่างตามใจเจ้าของบ้าน โดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียและผลที่สร้างความฉิบหายให้กับการเมืองเมืองไทยในอนาคตข้างหน้า ฉิบหายตรงไหน ? ผมจะเล่าให้ฟัง


ทุกวันนี้ นอกจากวุฒิสมาชิก 250 คนที่เลือกนายกฯ แล้ว รัฐธรรมนูญยังมีการที่จะคำนวณตำแหน่งแห่งที่ หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า 40,000 คน จะได้ ส.ส.1 คน ท่านผู้ชมครับ ถ้า 400,000 คน ต้องได้ 10 คน ใช่ไหม ? แต่รัฐธรรมนูญนี้กลับบอกว่า 400,000 คน ได้ 5 คน ผมถามท่านผู้ชมว่า ท่านผู้ชมเอาสูตรคณิตศาสตร์นี้ไปให้ควายมันคิด ควายมันยังร้อง มอ มอ ใช้ไม่ได้ ก็ปรากฏว่า ทุกคนที่จะมีเสียง ต้องเป็นพรรคเล็กพรรคน้อย ถึงจะมีเสียง ท่านไม่เห็นหรือครับ พรรคเล็กพรรคน้อยเต็มไปหมดเลย ได้มา 2 เสียงบ้าง 3 เสียง แม้พรรคของลุงกำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังหลุดออกมาได้บ้าง 4-5 เสียง คำถามก็คือว่า ถ้าอย่างนั้นแล้ว ถ้ายังยึดถือวิธีการแบบนี้ต่อไป การเลือกตั้งงวดหน้าก็จะมีพรรคเกิดใหม่ประมาณ 100 พรรค แล้วท่านผู้ชมไม่คิดว่าการเมืองประเทศไทยมันจะฉิบหายหรือ นี่เพียงแค่ตัวอย่างให้ดูง่ายๆ


เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อร่างออกมาแล้ว เพื่อให้มีช่องลอด ให้ผู้บริหาร คสช. เดินเข้ามาแล้วเข้ามามีอำนาจ สืบทอดต่ออำนาจไปได้ นั่นคือสิ่งที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ให้มา เพราะฉะนั้นถามท่านผู้ชมว่า เด็กนี่ ไม่ใช่โง่ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่เข้ากับเด็ก ก็ไม่ใช่โง่ นักการเมืองฝ่ายค้านก็เห็นช่องทางนี้ บอกว่าใช้ไม่ได้ ในเมื่อกติกาที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ มันไม่สันติเลยแม้แต่นิดเดียว คืออุปมาอุปไมย เล่นไพ่กัน เจ้ามือถือไพ่ปิด แต่กติกาบอกว่าคนที่เล่นกับผมต้องไพ่หงายให้หมด ผมก็อ่านหน้าไพ่ทุกคนออกหมดสิ เล่นเท่าไรก็ชนะเท่านั้น เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งแรกเริ่มสุดเลยที่จะทำให้ประเทศไปสู่ความพินาศฉิบหาย อ๋อ แน่นอนที่สุด คนที่เป็น ส.ว.หลายคน ตลอดจนคนที่มุ่งมั่นและหมกมุ่นกับพรรคพลังประชารัฐ หรือเป็นติ่งลุงตู่ ก็บอกว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี รัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิเสรีภาพประชาชน ไม่ได้เถียง แต่เป็นรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อมา เข้ามาได้ เมื่อเข้ามามีอำนาจแล้ว สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนี้ ไม่มีใครสนใจหรอก


ผมถามซิ เด็กมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญหรือเปล่าในการชุมนุม มี แต่ทำไมถูกจับล่ะ ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง


กุญแจคือ ขอให้มีท่อที่ตัวเองต่อเข้ามาแล้วมีอำนาจ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่า นี่คือประเด็นหลักที่เด็กประท้วงมา ทำไม ? เพราะผู้ใหญ่ทำระยำตำบอนทิ้งเอาไว้

เอาล่ะ ต่อมา เรื่องของสังคม เรื่องของการศึกษา ผมอธิบายให้ฟังแล้ว เด็กมันเรียนหนังสือ มันรู้นี่ พอพูดถึง หนูต้องเรียนพิเศษหรือเปล่า ? ต้องเรียนค่ะ. ทำไมต้องเรียน ? ถ้าไม่เรียนแล้วคะแนนไม่ดี. ก็เพราะว่าใครสอนล่ะ ก็ครูประจำชั้นนั่นล่ะเป็นคนสอน เพราะครูประจำชั้นต้องการเงินเข้ามาทุกเดือน พิเศษ พอเลิกเรียนปั๊บก็มาเรียนพิเศษต่อ แล้วที่สอนพิเศษนี่ ถ้าใครเรียนพิเศษก็จะได้ข้อสอบไปโดยปริยาย ถ้าใครไม่เรียนก็ไม่ได้ ประเด็นต่างๆ เหล่านี้่เด็กมันรู้หมด นิสิตตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ทราบ ปรากฏว่าอนาคตประเทศไทยไม่มี เด็กจะเรียนจบต่อไป เด็กที่จบราชภัฏร่วม 2-3 ล้านคน ตกงานกันเป็นแถว เด็กที่จบมหาวิทยาลัย อย่าว่าแต่ราชภัฏเลย จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ไม่มีงาน เดินเตะฝุ่นก็เยอะ เด็กพวกนี้มันมองไม่เห็นอนาคต


นั่นคือที่มาของพรรคอนาคตใหม่ เพราะว่าทั้งธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช เห็นอยู่แล้วว่านี่คือช่องว่างที่ไม่มีใครเป็นตัวแทนความต้องการ ความชอกช้ำ ความต่ำต้อยของเด็กรุ่นใหม่ทั้งหมดที่อัดอั้นตันใจกับเรื่องเหล่านี้มา แต่เผอิญมันโชคร้าย ตรงที่่ว่าสามคนนี้มีแนวโน้มที่ต้องการจะล้มล้าง ... ไม่ใช่ล้มล้าง ต้องการจะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เพราะว่าเขาจะยืนยันกับคนใกล้ชิดว่า ผมไม่ได้ต้องการที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ผมต้องการจะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่ว่าพฤติกรรมของเด็ก และพฤติกรรมของกลุ่มของคน 3 คนนี้ หยาบคาย จาบจ้วง อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ แล้วใครก็ตามที่อาฆาตต่อสถาบันกษัตริย์ ถ้าเจ้าหน้าที่ไปเล่นงาน ก็จะถูกหาว่ารังแกเด็กอีก ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง

จนในที่สุดแล้ว ท่านผู้ชม ผมจะเอาอะไรให้ดูอย่างหนึ่งว่า ทำไมรัฐบาลชุดนี้ และใครก็ตาม ไม่มีปัญญาจะทำอะไรเด็กได้ สู้เขาไม่ได้หรอกครับ ใครก็ตามที่วางแผนให้รัฐบาลอยู่เบื้องหลัง ผมจะบอกให้คุณรู้ว่า คุณเอาหัวไปชนก้อนเต้าหู้ตายดีกว่า ผมจะเปิดให้ดู


เวลาเด็กมันชุมนุม มันจะมีคนบงการอยู่ข้างหลัง อาจจะเป็นห้องๆ หนึ่ง เป็นกองบัญชาการ มีทีมๆ หนึ่งเป็นทีมมืออาชีพ "พบกันที่สถานีรถไฟทุกสถานี 17.50 น. นี่ทำเป็นกราฟฟิกขึ้นเลยนะ แล้วส่งต่อไปทันทีเลย มันก็จะกระจายไปเลย ท่านผู้ชมดูนี่สิ ดูประตูนี่ ทันสมัยไหม แล้วนี่รถอะไร รถลูกชิ้น ข้างหน้าก็คืออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รัฐบาลทำอย่างนี้ได้ไหม รัฐบาลมีแต่ส่งมา ช่วยกระจายข่าวหน่อยนะ ไม่มี แต่นี่มันออกทันทีเลย แล้วมันเอามาจากไหน ? นี่ไง เอามาจาก DOCTOR STRANGE ในหนัง AVENGER มันเข้าทางเด็กไหม ? เด็กมันดู AVENGER

อีกอันหนึ่ง 12.00 น. นี้ โปรดติดตามนัดหมายสำคัญ เปิดประตูเลยนะ แล้วก็เห็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คนที่ออกแบบนี้แล้วทำขึ้นมาภายในไม่เกินครึ่งชั่วโมง มันเลียนแบบอะไรรู้ไหม ? ประตูโดเรมอน เห็นหรือยังท่านผู้ชม แล้วคุณจะไปตามอะไรเด็กเขา


14.00 น. นี้ ขอให้ทุกคนสแตนด์บายที่รถไฟฟ้า ไม่ใช่มือสมัครเล่นนะ มืออาชีพเลยนะ ต้องอยู่ในวงการโฆษณา อย่างน้อยที่เรียนมาทางด้าน Communication Arts ต้องเรียนจบมาทางด้านนี้ เขามีทีมงาน เขาทำขึ้นมาทันทีเลย ไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไมเด็กมันถึงชุมนุมกันเร็วจัง เร็วมากๆ

แม้กระทั่งช่างภาพที่เขาจงใจถ่าย เพื่อที่จะเอาภาพให้ดู อย่างเช่น เป็นล้านคนตรงนี้ แต่จริงๆ มีอยู่แค่นี้เอง ข้างหลังไม่มี เขาเก่งไหม แล้วเราจะไปสู้เขาได้อย่างไร เขาจะจงใจถ่ายตรงที่มีคนเยอะๆ อาจจะเยอะอยู่แค่กระจุกหนึ่ง แต่ก็ทำให้เห็นว่าคนมาก ชูมือนี่ ทำให้เห็นว่ามาก


รัฐบาลแพ้ทุกประตู แล้วยิ่งใช้คนที่สมองหมาปัญญาควาย ระดมคนไป เข้าไปตีคนในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ยิ่งแพ้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีมากกว่านั้น รัฐบาลไม่เคยรับรู้เรื่องอะไรเลยทั้งสิ้น ท่านนายกฯ ยังลอยตัวอยู่เหนือทุกอย่าง

การเปิดสภาวิสามัญไม่สำคัญเท่ากับจุดยืนของท่านนายกฯ เรื่องนี้จะว่าอย่างไร ถ้าท่านบอกท่านพร้อมจะถอยก้าวหนึ่ง ให้เด็กถอยก้าวหนึ่ง สิ่งแรกที่ท่านจะต้องทำก็คือว่า ท่านต้องปล่อยตัวเด็กทุกคน ปล่อยออกมาเสียก่อน ท่านปล่อยไปเลย ไม่มีเงื่อนไข ที่ติดคุกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพนกวิน หนุ่มอ้วนคนนั้น หรือว่ารุ้ง หรือว่าโน่นนี่ ปล่อยไปเลย แต่ท่านอาจจะขอคืน ให้ทางเด็กถอยก้าวหนึ่งด้วย บอกว่าถ้าจะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ไม่ขัดข้อง ตั้งคณะกรรมการมา มานั่งคุยกัน แต่ห้ามเด็ดขาด ที่จะมีการกล่าวคำอาฆาตมาดร้ายในที่ชุมนุม ถ้าเป็นเช่นนั้นผมจะไม่ยอม ผมจะจับดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด และผมไม่เจรจาด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว ประเภทที่เขียนคำหยาบหรือประเภทที่ไปฉีกพระบรมฉายาลักษณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ลำปาง ผมไม่ยอม นี่คือการถอยคนละก้าวไง

แต่พอท่านนายกฯ บอกประชุมวิสามัญ เด็กมันไม่โง่นะท่านนายกฯ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าประชุมแล้วมันก็มานั่งด่ากันไปด่ากันมา คนที่เห็นด้วยก็เห็นด้วย คนที่เชียร์เด็ก ก็เชียร์ คนที่ด่า ก็ด่า แล้วตกเย็นกลับบ้านไปนอนกอดเมีย นอนกอดเมียน้อย นอนกอดเด็ก กินเหล้าเมายาต่อ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นท่านนายกฯ เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก

ท่านผู้ชม ผมจะเอาให้ดูอีกหลายๆ อัน นี่ไงท่านผู้ชม รูปชัดๆ นี่คือช่วงเด็กอยู่ แต่ข้างหลังนี่ว่างหมดเลย แต่เขาเข้าใจในการใช้มุมกล้อง


 แต่จะอย่างไรก็ตาม มันห้ามไม่อยู่แล้วท่านผู้ชม จะมีใครสักคนไหมที่กล้าออกมา แล้วบอกว่าถ้าคุณต้องการที่จะแก้รัฐธรรมนูญ เด็กบางทีก็เรียกร้องแบบที่เป็นไปไม่ได้ ให้นายกฯ ลาออกภายใน 3 วัน จะออกได้อย่างไร ท่านผู้ชมเห็นไหม คือฝนตกขี้หมูไล คนจัญไรมาพบกัน 3 วันออก ออกแล้วอย่างไร คุณตอบผมสิ ออกแล้วอย่างไร ถ้าสมมุติว่าเขาออก ออกแล้วอย่างไร ? เมื่อออกแล้ว เขาก็เลือกนายกฯ ใหม่ เขาเลือกนายกฯ ใหม่ เขายังมี 250 เสียง ส.ว.อยู่เหมือนเดิม แล้วในที่สุดเขาก็เลือก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นมา หรือคุณต้องการ จริงๆ ลึกๆ คุณต้องการให้ พล.อ.ประวิตร ขึ้นมา มันจะได้ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น ทำไมไม่เรียกร้องว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องจัดการเรื่อง ส.ว.ให้จบสิ้นภายในเวลาไม่เกิน 6 เดือน แล้วค่อยประกาศเลือกตั้งใหม่ อย่างนี้สิฟังออกว่าเป็นขั้นเป็นตอน เป็นเหตุเป็นผล



เพราะถ้าร่างรัฐธรรมนูญเสร็จภายใน 6 เดือน แล้วไม่จำเป็นต้องตั้ง ส.ส.ร. หรือง่ายนิดเดียว เริ่มจากจุดแรกก่อน ก็คือว่า แก้รัฐธรรมนูญมาตราเดียว คือ ส.ว.250 คน จบ แล้วเดินหน้าไปทีละขั้นทีละตอน แต่ปรากฏว่าเด็กถูกบงการอยู่ข้างหลังเช่นกัน เด็กถูกบงการอยู่ข้างหลังเพื่อที่จะให้มันป่วนบ้านป่วนเมือง และท่าผู้ชมครับ อเมริกามันพอใจมากถ้าเมืองไทยมีการป่วนบ้านป่วนเมืองเหมือนฮ่องกง แต่เผอิญอเมริกาไปเจอฮ่องกง ซึ่งจีนไม่กลัว เมื่อจีนไม่กลัวฮ่องกงแล้ว จีนก็เลยยึดฮ่องกงคืน ทำให้อเมริกาต้องกลายเป็นคนซึ่งไม่มีพื้นที่แล้ว ก็เลยต้องมาที่เมืองไทยแทน


ถ้าท่านผู้ชมติดตามเรื่องราวของผมมาตลอด จะเห็นว่าผมพูดมานานแล้ว ว่างานนี้อเมริกาอยู่เบื้องหลัง หลายคนที่ฟังรายการผมก็คอมเมนต์ว่าคุณสนธิมโน แล้วพอตอนหลังกลายเป็นทุกคนเห็นด้วยกับผมหมดเลย


ท่านผู้ชมครับ เรื่องทั้งหมดนี้มันไม่จบหรอก สภาวิสามัญช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เชื่อผม มาร์กคำพูดผมไว้ แล้วบรรดาคนที่กระสันต์บอกว่าเอาทุกอย่างไปจบในสภา เด็กมันมองข้ามสภานี้ไปแล้ว มันไม่ได้สนใจสภาบ้าบอคอแตกนี่อีกต่อไป เพราะสภานี้มันประกอบไปด้วยอะไร ซึ่งเด็กมันไม่ยอมรับสักคน ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ แล้วท่านผู้ชมว่าผมจะอยู่อย่างไรล่ะ

ผมก็ไม่เอาเด็กในประเด็นที่เด็กหยาบคาบ เด็กจาบจ้วง และเด็กอาฆาตแค้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาฆาตแค้นสถาบันกษัตริย์ แล้วไม่ยุติ ผมมีการ์ตูนอันหนึ่งที่จะให้ท่านผู้ชมดู


ผู้นำม็อบ ท่านผู้ชมเห็นเพนกวินไหม อานนท์โยนไมโครโฟนต่อให้เพนกวิน เพนกวินรับต่อ พอโดนตำรวจจับ โยนให้รุ้ง รุ้งก็รับต่อ โยนให้ไมค์ ไมค์ก็รับต่อ ตำรวจมา ไมค์โยนต่อไปให้ธร ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พี่ธนาธร กับพี่ปิยบุตรของผม หลบอยู่ใต้ต้นไม้ "ปิยบุตร คุณรับต่อสิ" "ไม่ คุณนั่นล่ะรับต่อ" ลึกๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

วันนี้ทั้งปิยบุตร ทั้งธนาธร และทั้งพรรณิการ์ พยายามใช้เด็กเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้ตัวเอง ท่านผู้ชม ผมรับไม่ได้ และผมก็รับไม่ได้อีกฝั่งหนึ่งเหมือนกัน ที่เละเทะมาก สืบทอดอำนาจ โกหกพกลม ไม่มีความจริงใจ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ทั้งสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เด็กนะ พวกนี้ ธนาธร พรรณิการ์ กับฝ่ายนี้ทางขวา เป็นตัวสร้างปัญหาทั้งสิ้น


ท่านผู้ชมครับ ผมอยู่ไม่เป็นจริงๆ อยู่ไม่เป็นจริงๆ หวังว่าวันนี้ก็คงจะได้อะไรหลายอย่างที่เป็นสาระไป ประวัติที่มาที่ไปของการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต ที่รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านถาม พล.อ.ชวลิต ว่า "เราตั้งโจทย์ผิดหรือไม่" เมืองไทยก็เช่นกัน ณ วันนี้ ต้องถามตัวเราเองว่าเราตั้งโจทย์ผิดหรือเปล่า โจทย์เรื่องการสืบทอดอำนาจ เราลืมตัวไปหรือเปล่า เพราะเราไม่ใช่ สี จิ้นผิง และเราไม่มีวันที่จะเป็น สี จิ้นผิง ได้ เพราะ สี จิ้นผิง เขาเอาประเทศจีนเป็นตัวตั้ง แต่รัฐบาลเราไม่ได้เอาประเทศไทยเป็นตัวตั้ง ถ้าเอาประเทศไทยเป็นตัวตั้ง คุณต้องหาทางสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น คุณได้เปรียบอยู่แล้ว เพราะคุณถือกฎหมายอยู่ในมือ แต่ขณะเดียวกัน เด็กก็มีเบื้องหลังอยู่ข้างหลัง ที่ยุยงส่งเสริมให้เด็กเล่นแรง ก้าวร้าว อาฆาตแค้น หรือบางทีจริงๆ แล้วคุณธนาธร คุณปิยบุตร ตามข่าวบอกว่า มีผู้หลักผู้ใหญ่บางคนได้เจอกับคุณธนาธร กับคุณปิยบุตร แล้วคุณธนาธร กับคุณปิยบุตร ก็บอกว่า พี่ ผมไม่ต้องการล้มเจ้านะ ผมแต่ต้องการปฏิรูป ผมไม่ต้องการ แต่ถ้าคุณไม่ต้องการล้มเจ้าแล้ว ทำไมคุณปล่อยให้เด็กซึ่งเผอิญเป็นกลุ่มของพวกคุณ ออกมาพูดจาจาบจ้วง หยาบคาย สถุล และอาฆาตมาดร้ายกับสถาบันกษัตริย์ มันย้อนแย้งกัน

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นวันที่ 23 วันปิยมหาราช ทุกคนรักและเคารพ คิดถึงรัชกาลที่ 5 เสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 พวกเรามาตั้งจิตอธิษฐานขอให้ดวงวิญญาณของพระองค์ท่าน ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทย ช่วยคุ้มครองประเทศไทย ให้พ้นจากเภทภัย ผมไม่ต้องการจะเห็นสงครามกลางเมืองในที่สุดต่อไปในอนาคต ท่านผู้ชมครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น